โบรกลุ้น”นักท่องเที่ยวต่างชาติ”เข้าไทย พ.ค.นี้ ทะลุ4แสนคน หนุนฟันด์โฟลว์
บล.กสิกรไทย คาด พ.ค. ต่างชาติเทขายหุ้นไทย 2-3 หมื่นล้าน เหตุ เฟดขึ้นดบ. -ทำคิวที กดดัชนี แต่หากนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยทะลุ 4 แสนคน หนุนฟันด์โฟลว์พลิกซื้อ บล.หยวนต้า ชี้แรงขาย ไม่เกิน 1.3 หมื่นล้าน มองดัชนี1,600-1,700 จุด บล.เอเซียพลัส แนะดัชนีอ่อนตัวทยอยซื้อ
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในเดือนพ.ค. คาดว่าจะมีแรงขายหุ้นไทยออกมาระดับ 20,000-30,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยหลักจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม3-4 พ.ค.และการลดงบดุล (QT) ส่วนปัจจัยการท่องเที่ยวของไทยฟื้นตัวช้านั้น ตลาดได้รับรู้ปัจจัยดังกล่าวไปแล้ว
ทั้งนี้หากนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาได้ในเดือนพ.ค.ที่ระดับเกิน 400,000 คน อยู่ที่ระดับ 500,000-600,000 คน ยังเป็นอัพไซด์ให้ตลาดหุ้นไทย และมีผลทำให้เงินบาทหยุดอ่อนค่าและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในปีนี้ลดลง เป็นปัจจัยสำคัญทำให้นักลงทุนต่างชาติชะลอแรงขายและมีโอกาสพลิกกลับมาเป็นซื้อสุทธิชัดเจนในปีนี้
สำหรับดัชนีหุ้นไทยในเดือนพ.ค. จากสถิติ ย้อนหลัง 10 ปี ดัชนี จะปรับตัวลดลง และค่าเงินบาทอ่อนค่า โดยคาดว่า ดัชนีหุ้นไทย ปรับตัวลดลง 1-1.5% ส่วนค่าเงินบาทอ่อนค่าราว 1.03 บาทต่อดอลลาร์
โดยคาดว่าในช่วงครึ่งเดือนแรกของพ.ค.จะแกว่งตัวลงในกรอบ 1,630-1,650 จุด แต่ในช่วงครึ่งปีหลังของเดือนพ.ค. คาดดัชนี มีโอกาสปรับตัวขึ้น จากมาตรการเปิดการท่องเที่ยว ซึ่งหากนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าเดินทางเข้ามาได้ตามคาดหนุนดัชนีน่าจะยืนแนวต้านที่ 1,690 จุด บวกลบได้
โดยกลยุทธ์การลงทุนเดือนพ.ค.นี้ แนะว่า ช่วงครึ่งแรกของเดือนนี้ หยุดการลงทุนและเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเมื่อดัชนีแตะระดับ 1,610-1,630 จุด เป็นโอกาสเข้าสะสม หุ้นกลุ่มคุณภาพ มีกระแสเงินสดสภาพคล่องสูง กำไรเติบโตสม่ำเสมอเฉลี่ยปีละ 10-15% ผลกระทบจำกัดจากปัจจัยเสี่ยงสงครามรัสเซียกับยูเครนและการลดงบดุลของเฟด มีปันผลเฉลี่ย 6-7% เช่นบมจ. ไดนาสตี้เซรามิค (DCC),ธนาคารเกียรตินาคินภัทร(KKP) ,ธนาคารกรุงไทย(KTB),บมจ.บริทาเนีย (BRI)
“SET ในเดือนพ.ค.นี้ไม่หลุด 1,600 จุด และหากจำนวนนักท่องเที่ยวดีกว่าระดับที่เราคาดมองเป็นอัพไซด์ในช่วงที่เหลือของปีนี้ จากภาคการท่องเที่ยว คิดเป็นสัดส่วน 12% ของจีดีพี ”
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า กล่าวว่า หากนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยในเดือนพ.ค.นี้ คาดว่าจะไม่เกินค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปีครึ่ง ที่ขายอยู่ที่ระดับ 13,000 ล้านบาทต่อเดือน เนื่องจากมองว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึง 29 เม.ย. 2565 ต่างชาติยังซื้อสุทธิหุ้นไทยที่ 130,000 ล้านบาท หรือยังไม่ถึง 50% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีการขาย 310,000 ล้านบาท ทำให้ไม่น่าจะรีบขายออกไป เพียงแค่แรงซื้อทยอยลดลง จากการปรับพอร์ตของนักลงทุนชาติ เพื่อลดผลกระทบบอนด์ยิลด์จากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทย ช่วงครึ่งแรกของเดือนพ.ค.มีโอกาสปรับตัวลงจากกระแสฟันด์โฟลว์ จากแรงกดดันเฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในการประชุม 3-4 พ.ค.2565 สงครามรัสเซียกับยูเครนตึงเครียดขึ้น และ ความผันผวนในตลาดหุ้นสหรัฐช่วงประกาศผลประกอบการงบ
แต่ในช่วงครึ่งหลังของเดือน พ.ค. มองว่า ปัจจัยเสี่ยงคลี่คลายสถานการณ์ต่างๆชัดเจนขึ้น และหวังจีนมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหนุนบรรยากาศการลงทุน รวมถึงโมเมนตัมการท่องเที่ยวในประเทศกลับมาจากการเปิดประเทศ
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส กล่าวว่า ในช่วงเดือนพ.ค.นี้ มีโอกาสเกิดแรงขายกลุ่มนักลงทุนต่างชาติค่อนข้างมากต่อเนื่องจากเม.ย.ที่ผ่านมานี้ เพราะ มีปัจจัยต่างประเทศกดดัน ทั้งผลกระทบของสงครามรัสเซียกับยูเครนที่ยังยืดเยื้อ นำไปสู่การทยอยปรับลดจีดีพีโลกลง ระดับ 0.5-1% และอัตราเงินเฟ้อหลายประเทศยังเร่วตัวขึ้น นำไปสู่นโยบายการเงินตึงตัวเต็มรูปแบบ
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในเดือนพ.ค ไม่รีบร้อน แนะหากดัชนีย่อตัวลงเป็นโอกาส ทยอยเข้าสะสม แลกหุ้นธีมเด่น ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ ราคาหุ้นถูก กำไรเติบโตและกลับมาเทิร์นอะราวด์ จากตลาดรับรู้ข่าวท่องเที่ยวฟื้นตัวช้าไปแล้ว และยังมีโอกาสทยอยฟื้นตัว เรามุมองเป็นอัพไซด์ต่อตลาดหุ้นไทยในระยะถัดไป จากตลาดการยกเลิก Test&Go วันแรก 1 พ.ค.ที่ผ่านมานี้ มีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศคึกคัก