“เมเจอร์”เทิร์นอะราวด์ โกยกำไรทุกไตรมาส
สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ในไทยเริ่มคลี่คลาย ขณะนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่รายวันลดลงไม่ถึง 1 หมื่นคน ขณะที่ผู้เสียชีวิตต่ำกว่า 100 คน ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการเดินหน้าประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น
โดยปัจจุบันประชาชนได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ กิจการห้างร้านต่างๆ เปิดให้บริการเกือบหมดแล้ว ส่งผลให้บรรยากาศในประเทศเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง ดูได้จากห้างสรรพสินค้าขณะนี้คึกคักอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงวันหยุด ประชาชนออกมาพบปะสังสรรค์ ช้อปปิง ทานข้าว ดูหนัง กันแน่นห้าง
“โรงภาพยนตร์” เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ ตั้งแต่เกิดโรคระบาด ถูกสั่งปิดไปหลายรอบ พอกลับมาเปิดต้องอยู่ภายใต้ข้อบังคับที่เข้มงวดขึ้น มีการจำกัดเวลาในการให้บริการ จำกัดจำนวนผู้ชม ต้องเว้นระยะห่าง ดูแลรักษาความสะอาดอย่างเคร่งครัด
สำหรับประเทศไทย บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR ถือเป็นเจ้าตลาดโรงภาพยนตร์ ครองมาร์เก็ตแชร์สูงที่สุด ดังนั้นเมื่อเกิดวิกฤตขึ้นมาจึงได้รับผลกระทบมากที่สุดด้วยเช่นกัน
โดยปี 2563 เป็นปีแรกที่รับรู้ผลกระทบจากโควิดเต็มๆ บริษัทพลิกขาดทุนสูงถึง 527.49 ล้านบาท เทียบกับปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิ 1,170.03 ล้านบาท ส่วนปี 2564 แม้ว่างบการเงินบรรทัดสุดท้ายจะเป็นบวกมีกำไรสุทธิ 1,581.45 ล้านบาท แต่เป็นผลจากรายการพิเศษ
รับรู้การขายหุ้นบริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SF เข้ามา 3,163 ล้านบาท แต่หากตัดรายการพิเศษออกไปยังคงขาดทุนกว่า 800 ล้านบาท
ส่วนปีนี้น่าจะเป็นปีแห่งการเทิร์นอะราวด์ของ MAJOR รับอานิสงส์จากการเปิดเมือง หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย เชื่อว่าผลประกอบการจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่องตลอดทั้งปี ลุ้นกลับมามีกำไรในทุกไตรมาส ประกอบกับจะมีหนังฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศเข้าฉายหลายเรื่อง
เช่น The Batman, Fantastic Beasts : The Secrets of Dumbledore ที่ลงโรงไปแล้ว ส่วนเดือนนี้มี Doctor Strange 2, Top Gun : Maverick เดือนมิ.ย. เตรียมพบกับ Jurassic World : Dominion, Lightyear ส่วนแฟนๆ ของเทพเจ้าสายฟ้าธอร์ รอติดตาม Thor : Love and Thunder ที่จะเข้าฉายในเดือนก.ค.
ปลายปีถึงคิวของซูเปอร์ฮีโร่จากวาคานด้า Black Panther : Wakanda Forever ซึ่งมีกำหนดลงโรงในเดือนพ.ย. และธ.ค. นี้ สิ้นสุดการรอคอยกว่า 13 ปี กับ Avatar 2 ที่จะขอมาทวงบัลลังก์หนังทำเงินสูงที่สุดในโลกอีกครั้ง ส่วนตลาดหนังไทยปีนี้คึกคักไม่แพ้กัน หลังอัดอั้นมานาน มีกำหนดเข้าฉายมากกว่า 40 เรื่อง
นอกจากธุรกิจหลักที่ฟื้นตัวอย่างชัดเจนแล้ว บริษัทที่เข้าไปลงทุนทั้ง บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WORK และ บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ผลประกอบการดูสดใสขึ้นเช่นกัน เป็นอีกแรงเสริมให้กับ MAJOR
ด้านบล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ระบุว่า คาดผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2565 จะพลิกมีกำไร 24 ล้านบาท จากขาดทุน 120 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2564 แม้จะมีหนังฟอร์มใหญ่น้อยลง ขณะที่ผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น แต่รายได้จากการขายตั๋วหนังในไตรมาสนี้จะเพิ่มขึ้น 47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รับอานิสงส์จากการเปิดเมือง
ส่วนรายได้จากการขายอาหารและเครื่องดื่มคาดเพิ่มขึ้น 57% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น และการขยายช่องทางการขาย เช่น ร้านค้าแบบป๊อปอัพและเดลิเวอรี่
ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2565 จะเติบโตดียิ่งขึ้น เนื่องจากจะมีหนังฟอร์มยักษ์จากฝั่งฮอลลีวูดเข้าฉายจำนวนมากในช่วงหน้าร้อนของสหรัฐ ประกอบกับความกังวลเรื่องโควิดเริ่มคลี่คลาย และผู้บริโภคออกมาทำกิจกรรมนอกบ้านมากขึ้น
คาดผลประกอบการของ MAJOR ในทุกไตรมาสของปีนี้จะเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนทั้งปีพลิกมีกำไร 677 ล้านบาท จากปีก่อนที่ขาดทุนปกติ 832 ล้านบาท
ด้านบล.โนมูระ พัฒนสิน คาดปี 2565 พลิกกลับมามีกำไร 933 ล้านบาท หลังสถานการณ์โควิด-19 มีแนวโน้มคลี่คลาย โดยผลประกอบการจะฟื้นตัวโดดเด่นในไตรมาส 2 ปี 2565 ตามฤดูกาล รวมทั้งยังมีปัจจัยเร่งจากการวางจำหน่ายป๊อปคอร์นใน 7-Eleven และการลงทุนในกิจการอื่นอีก 1 ดีล ที่คาดจะมีความชัดเจนมากขึ้น
พร้อมกันนี้ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2565 คาดยังมีกำไร 3 ล้านบาท แม้จะได้รับผลกระทบจากการระบาดโควิด-19 รอบใหม่ แต่ประชาชนปรับตัวได้ดีขึ้น และมีหนังใหญ่จากฮอลลีวูดเข้าฉายต่อเนื่อง