"บล.เมย์แบงก์"ชี้ หุ้นไทยปรับฐาน เป็นจังหวะทยอยซื้อ พร้อมคัด7 หุ้น น่าลงทุน
บล.เมย์แบงก์ ชี้ หุ้นไทยปรับฐาน เป็นจังหวะทยอยเข้าซื้อหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรดี ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แนะรอดูตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐที่ประกาศ11 พ.ค. 65 หากตัวเลขแผ่วลง หนุนดัชนีฟื้นตัว พร้อมคัด 7 หุ้น น่าลงทุน พร้อมคงเป้าดัชนีปีนี้ 1,750 จุด
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ MST เปิดเผยกับกรุงเทพธุรกิจว่า แนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเผชิญความเสี่ยงหลักเรื่องของเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เงินเฟ้อที่สูง ซึ่งขณะนี้ถือว่าเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของเงินเฟ้อ โดยคาดว่าน่าจะเข้าใกล้จุดพีคในระยะสั้นนี้
ทั้งนี้ในวันที่ 11 พ.ค.2565 สหรัฐจะประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ โดยตลาดคาดการณ์ว่าจะมีแนวโน้มที่ทิศทางชะลอตัว ซึ่งหากเป็นไปตามที่ตลาดคาด ก็จะส่งผลให้การลงทุนหุ้นกลับมามีความน่าสนใจลงทุน จากที่ผ่านมาดัชนีปรับฐานตอบรับปัจจัยเสี่ยงไปพอสมควารแล้ว แต่การปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นคงจะไม่แรง เพราะความเสี่ยงหลักเรื่องเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และราคาน้ำมันคงจะไม่ปรับตัวลงได้ง่ายๆ
“ส่วนตัวมองว่าหุ้นไทยที่ปรับฐานลงมาก็เป็นโอกาสที่จะเข้าลงทุนได้ โดยนักลงทุนแบ่งไม้ในการซื้อ โดยมองว่าดัชนีที่1,630 จุด เป็นจุดเข้าซื้อ สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง แต่หากนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย รอดูตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐในเดือนเม.ย.ซึ่งจะประกาศวันที่ 11 พ.ค. ซึ่งหากประกาศออกมาแล้วตัวเลขแผ่วลงก็จะส่งผลดีต่อการลงทุน เป็นจังหวะเข้าซื้อได้"
สำหรับหุ้นที่แนะนำลงทุนโดยเลือกหุ้นที่คาดมีกำไรที่ดี หรือฟื้นตัวตามเศรษฐกิจในประเทศ และราคาหุ้นยังมีอัพไซด์ ดังนี้
1.หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว จากรัฐบาลมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด ซึ่งส่งผลดีทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยมากขึ้น โดยหุ้นแนะนำ คือ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) ซึ่งคาดว่าปีนี้จะขาดทุนลดลงมากอยู่ที่ระดับ"พันล้านบาท" จากปีก่อนที่ขาดทุน 1.6 หมื่นล้านบาท โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 73 บาท
2.หุ้นกลุ่มโรงแรม แม้ราคาขึ้นมาพอสมควร แต่ยังสะสมได้ โดยหุ้นแนะนำ คือ บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ซึ่งหากราคาย่อตัวลงมา สามารถเข้าลงทุนได้ โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 37 บาท
3.หุ้นกลุ่มอาหาร ซึ่งเงินบาทอ่อนค่าส่งผลดี โดยแนะนำหุ้นบมจ. จีเอฟพีที (GFPT) ซึ่งจะได้ประโยชน์จากราคาไก่ที่ยังทรงตัวในระดับสูง และกำลังการผลิตจะกลับสู่ปกติจากในช่วง2 ปีผ่านมาโรงงานถูกไฟไหม้ ทำให้ผลการดำเนินงานฟื้นกลับมา (เทิร์นอะราวด์)โดยให้ราคาเหมาะสม16.30 บาท
4. หุ้นกลุ่มค้าปลีก คาดรายได้ปีนี้จะค่อยๆฟื้นตัวจากปีก่อนที่ ฐานต่ำ ซึ่งประเมินว่ายอดขายของสาขาเดิมทุกไตรมาสปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยหุ้นแนะนำ คือ บริษัท ซีพี ออลล์ ( CPALL) กำไรฟื้นกลับมาเด่น ให้ราคาเหมาะสมที่ 79 บาท
5.หุ้นGrowth Stock ซึ่งเชื่อว่าผลการดำเนินงานจะกลับมา โดยหุ้นแนะนำ คือ บมจ.เจ มาร์ท (JMART) แม้ราคาเพิ่มขึ้นมาแล้ว แต่เชื่อกำไรเติบโตที่แข็งแกร่ง ให้ราคาเหมาะสมที่ 75 บาท และ
6 บมจ. เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส(JMT) คาดว่ากำไรจะทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยให้ราคาเหมาะสม 103 บาท
7.หุ้นเทค สำหรับนักลงทุนที่ชอบลงทุนหุ้นขนาดเล็กและเป็นหุ้นเทค แนะนำ บมจ. เบริล 8 พลัส (BE8) แม้ราคาปรับขึ้นมาแล้ว แต่แนวโน้มธุรกิจเป็นเมกะเทรนด์ จึงมีความน่าสนใจลงทุน ซึ่งBE8 บล.เมย์แบงก์ไม่ได้ทำบทวิเคราะห์ แต่เชื่อว่าราคาที่ระดับ50 บาท สามารถซื้อขาย(เทรด)ได้
สำหรับกรณีที่เฟดจะลดขนาดงบดุล(QT) เชื่อว่าจะไมส่งผลกระทบกับดัชนีหุ้นไทยมากนัก เพราะ ในช่วงที่เฟดทำ QE นั้น เม็ดเงินฟันด์โฟลว์ไม่ได้ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ขณะที่ภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส2-ไตรมาส3 จะผันผวน
แต่เชื่อว่าในช่วงไตรมาส 4 ปี 2565 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเดินทางมาประเทศไทยมากขึ้น หลังจากที่ประเทศไทยมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด และการแพร่ระบาดของโควิดมีทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งจะหนุนเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ในทิศทางที่ดี โดยบล. เมย์แบงก์ ยังคงคาดดัชนีสิ้นปีนี้อยู่ที่ 1,750 จุด