“กลุ่มปตท.” กำไรไตรมาส 2 โต เชื่อน้ำมันสูง รับเปิดประเทศ-ดีมานด์พุ่ง
"6 บริษัทกลุ่มปตท." โกยกำไรไตรมาส 1/65 กว่า 2.7 หมื่นล้าน ลดลง 24% จากช่วงเดียวกันก่อนที่มีกำไร “บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี” คาดไตรมาส 2/65 โตต่อเนื่อง เหตุราคาน้ำมัน-ดีมานด์ยังสูง ชู “ปตท.สผ.-ไทยออยล์” เด่นสุด
"กลุ่มปตท." ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2565 ออกมาแล้ว 6 บริษัท ประกอบด้วย บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP),บมจ. ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) ,บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล ( PTTGC) ,บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) ,บมจ.ไทยออยล์ (TOP),บมจ. โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) มีกำไรสุทธิรวม 27,572.63 ล้านบาท ลดลง 24% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไร 36,278.62 ล้านบาท ส่วนบมจ.ปตท.(PTT)ประกาศงบวันนี้ (12 พ.ค.)
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) หรือ CGS-CIMB กล่าวว่า คาดว่าไตรมาส 2 ปี 2565 กำไรกลุ่มปตท. จะออกมาเติบโตต่อเนื่องเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และไตรมาสก่อน เนื่องจาก ราคาน้ำมันดิบโลกยังยืนเหนือ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ยปรับตัวดีขึ้น
โดยหากแบ่งเป็นกลุ่มธุรกิจพบว่า ปตท.สผ.กำไร ไตรมาส 2 และทั้งปี2565 จะปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะราคาขายดีขึ้น และมาจากดีมานด์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่กลุ่มโรงกลั่น กำไรยังเติบโตดี สะท้อนผ่านค่าการกลั่นในปัจจุบันอยู่ที่ 20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับค่าการกลั่นไตรมาส 2 ปี 2564 ที่มีค่าการกลั่นอยู่ที่ 2.05 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่กำไรจากสต็อกน้ำมันอาจจะไม่ดีเหมือนไตรมาส 1 ปี2565
สำหรับธุรกิจในกลุ่มน้ำมัน พบว่า แนวโน้มราคาน้ำมันยังสูงดังนั้น ราคาขายปลีกยังขยายตัว สอดรับการเปิดประเทศ ทำให้ดีมานด์ความต้องการสูงขึ้น โดยในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น 5% ส่วนกลุ่มปิโตรเคมียังเป็นกลุ่มที่ผลดำเนินงานยังไม่สดใส เนื่องจากส่วนต่างราคา (สเปรด) ยังไม่ดีจากต้นทุนราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นรวดเร็วมาก ดังนั้น แนวโน้วไตรมาส 2 ปี 65 ผลการดำเนินงานก็น่าจะยังไม่ฟื้นตัว เพราะราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูง
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า กล่าวว่า กลุ่มปตท. ทยอยประกาศงบไตรมาส 1 ปี 2565 ส่วนใหญ่มีกำไรเติบโตตามที่คาดการณ์เอาไว้ ยกเว้น บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ที่กำไรออกมาดีกว่าที่คาดไว้
โดยปัจจัยที่ทำให้กำไรกลุ่มปตท. ไตรมาส 1 ปี 65 ออกมาดีกว่าคาดเนื่องจาก ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นสูงสุดที่130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำให้ราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในไตรมาส 1 ปี 65 ส่งผลดีกลุ่มพลังงานต้นน้ำมีกำไรสต็อกเกรนที่เพิ่มขึ้น
สำหรับ แนวโน้มไตรมาส 2 ปี 2565 ภาพรวมของกลุ่มปตท. กำไรน่าจะปรับตัวลดลงหรือทรงตัวจากไตรมาส 1 ที่ผ่านมาเพราะราคาน้ำมันไม่น่าจะปรับขึ้นไปอีก โดยน่าจะยังยืนระดับสูงเฉลี่ย 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ใกล้เคียงกับไตรมาส 1 ที่ผ่านมา แต่กำไรภาพรวมของกลุ่มปตท. ยังเติบโตดีกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน ที่ฐานต่ำ
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณารายตัว จะพบว่า กำไรของกลุ่มพลังงานต้นน้ำ โดยเฉพาะกลุ่มโรงกลั่น อย่าง PTTEP คาดกำไรสูงต่อเน่ื่องในไตรมาส 2 ปีนี้ ด้วยค่าการกลั่นมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 21 ดอลลาร์ในไตรมาส 2 ปีนี้ เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/65 ไม่ยังถึง 10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล รวมถึง TOP ไตรมาส 2 ปีนี้ จะมีกำไรพิเศษจากการขายหุ้น GPSC ทำให้กำไรน่าจะมีโอกาสเติบโตโดดเด่นกว่าบริษััทอื่นในกลุ่มปตท.
จักรพงศ์ เชวงศรี นักวิเคราะห์กลุ่มพลังงาน บล.กสิกรไทย กล่าวว่า เราคาดกำไรไตรมาส 1/65 กลุ่ม PTT ไว้ที่ 51.3 พันล้านบาท โดยปัจจุบันงบบริษัทลูกทั้งหมดได้ประกาศมาแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่กำไรดีกว่าที่คาดการณ์ไว้โดยเฉลี่ย 5%
สำหรับธุรกิจมีกำไรออกมาดีกว่าคาดการณ์มากที่สุดคือ OR และ PTTGC ซึ่ง OR ได้รับอานิสงค์จากการฟื้นตัวของอัตรากำไรน้ำมัน ปริมาณการขายทั้งน้ำมันและ Non-oil และค่าใช้จ่าย/ลิตรที่ลดลง ในขณะที่ PTTGC กำไรดีกว่าคาดจากการที่มีการบันทึกรายการพิเศษจากอนุพันธ์ทางการเงิน และมีการยืดอายุการตัดค่าเสื่อมอาคารและอุปการณ์ ทำให้ค่าเสื่อมราคาปรับลดลง
โดยในส่วนกำไรที่ออกมาต่ำคาดการณ์ คือ GPSC เนื่องจากอัตรากำไรของธุรกิจ SPP ได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานที่ปรับสูงขึ้นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นก๊าซธรรมชาติหรือถ่านหิน โดยการปรับราคาขายไฟฟ้าทำได้ช้ากว่าจะค่า Ft ที่ขึ้นน้อย
ทางด้านมุมมองไตรมาส 2/65 กำไรสุทธิของ PTTEP และ GPSC จะฟื้นตัว โดย PTTEP ฟื้นตัวจากขาดทุนป้องกันความเสี่ยงน้ำมันที่ลดลง ในขณะที่ราคาน้ำมันและก๊าซปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย GPSC ได้รับผลประโยชน์จากการปรับเพิ่มค่า Ft ในเดือน พ.ค. และการกลับมาดำเนินงานเต็มไตรมาสของโรงไฟฟ้า GLOW phase 5
โดยในส่วนหุ้นเกี่ยวของกับโรงกลั่นและปิโตรเคมี ไม่ว่าจะเป็น TOP PTTGC และ IRPC ผลการดำเนินงานจะปรับตัวลดลงจากกำไรสต๊อกน้ำมันที่น้อยลง และยังมีขาดทุนป้องกันความเสี่ยงน้ำมันอยู่เป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ คาด OR ผลการดำเนินงานทรงตัว QoQ จากการฟื้นตัวของอัตรากำไรน้ำมัน และปริมาณการขาย แม้กำไรจากสต๊อกน้ำมันจะลดลงก็ตาม
แนะนำนักลงทุนยังอยู่กับหุ้นต้นน้ำและโรงกลั่นครับ