"สตางค์" ชี้ คริปโทฯ เข้าสู่ตลาดหมีอย่างแท้จริง - ระมัดระวังลงทุน

"สตางค์" ชี้ คริปโทฯ เข้าสู่ตลาดหมีอย่างแท้จริง - ระมัดระวังลงทุน

"ปรมินทร์" ชี้ ตลาดคริปโทฯ เข้าสู่ภาวะตลาดหมีอย่างแท้จริง คาดราคาบิตคอยน์อย่างน้อยนาน 1-2 เดือนข้างหน้า แกว่งในกรอบ 2.5 - 3.2 หมื่นดอลลาร์ พร้อมเตือนนักลงทุนควรระมัดระวัง "สรัล" ประเมินสินทรัพย์เสี่ยง "หุ้น คริปโทฯ ทองคำ" อยู่ในภาวะกดดัน - คาดราคาทรงตัวช่วง 4-5 เดือนนี้

นายปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้ง บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า ตลาดคริปโทฯ ตอนนี้เข้าสู่ช่วงตลาดหมีอย่างแท้จริง ซึ่งส่งสัญญาณมาตั้งแต่ต้นปี โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ที่ราคาบิตคอยน์ตกลงไปต่ำกว่า 1 ล้านบาท นั้นเกิดจากแรงกดดันตลาดแพนิกทั้งจากวิกฤติของเหรียญ Stablecoin UST และ LUNA

โดยส่งผลให้เหรียญในกลุ่ม DeFi และ Stablecoin รวมทั้งเหรียญอื่นก็ถูกเทขายออกมา สิ่งที่กดดันมากขึ้นคือ เฟดที่คงต้องขึ้นดอกเบี้ย อย่างจริงจังมากขึ้น เพราะตัวเลข ดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI : Consumer price index ซึ่งใช้เพื่อคำนวณอัตราเงินเฟ้อ)เร่งตัวขึ้น 8.3 เปอร์เซ็นต์ ในเดือนเมษายน มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 8.1 เปอร์เซ็นต์

ทั้งนี้ใกล้ระดับสูงสุดในรอบกว่า 40 ปี  ซึ่งปัจจัยจากเฟด กับการต่อสู้กับวิกฤติเงินเฟ้อนั้น ยังคงอยู่ไปอีกอย่างน้อย 3 ถึง 4 เดือนจากนี้  นั่นย่อมกดดันให้คริปโทเคอร์เรนซียังสามารถลงไปทดสอบระดับล่างได้อีก

สำหรับมุมมองทางเทคนิค Bitcoin  และเหรียญ Altcoin อื่นๆ อยู่ในขาลง และคงไม่จบใน 1 ถึง 2 สัปดาห์ นี้ อาจยืดยาวไป 1 ถึง 2 เดือนเป็นอย่างน้อย ราคาของบิตคอยน์อาจเคลื่อนไหวไปมาในช่วงกว้างๆ ระหว่าง 32,000 ดอลลาร์ ถึง 25,000 ดอลลาร์ อยู่หลายสัปดาห์จากนี้ อยากจะเตือนนักเทรดว่า ตอนนี้อย่าใช้อารมณ์ในการเทรด ต้องมีสติ และบริหารการเงินให้ดี

สรัล ศิริพันโนน ซีอีโอ Satang Corporation กล่าวย้ำว่า "เวลานี้ การจะมองหาว่าเหรียญหรือสินทรัพย์ใดเป็น safe – haven นั้นอาจจะยากอยู่สักหน่อย แน่นอนว่าเมื่อเฟดขึ้นดอกเบี้ยเพื่อกำจัดอัตราเงินเฟ้อ

ดังนั้น ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น ทองคำ คริปโทฯ อยู่ในภาวะกดดันคือ ไม่ขึ้นหรือ ลงมาอีก ในช่วง 4 - 5 เดือนนี้ และเมื่อสินทรัพย์แทบทุกชนิดถูกเทขาย (ยกเว้นน้ำมันกับก๊าซที่ยังขาขึ้นในช่วง 1 - 2เดือนนี้) เงินก็จะไหลกลับมาที่ US Dollar อีก เพราะการที่ USD แข็งค่าขึ้น แสดงว่าไม่มีทรัพย์สินอื่นน่าสนใจลงทุน"

โดยอยากจะฝากข้อคิดว่าก่อนจะลงทุนควรต้องตั้งคำถามกับตัวเอง 2 ข้อ คือ 1) สินทรัพย์ที่จะลงทุน จะลงไปได้มากที่สุดขนาดไหน (maximum drawdown) 2) อีกยาวนาน แค่ไหนที่ สินทรัพย์นั้นจะเริ่มกลับมาฟื้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งคนส่วนใหญ่มักคิดถึงแต่ประเด็นข้อ1 แต่ลืมถามข้อ 2 เรื่องที่เกี่ยวกับเวลาในการถือครองทรัพย์สินระหว่างขาลงยังไม่จบ จนกลับมาขาขึ้นเป็นกำไร  

อย่างไรก็ตามอย่าลืมว่าระยะเวลาเป็นเรื่องสำคัญ เพราะนั่นหมายถึงต้นทุนของการได้หรือเสียโอกาสที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นอย่าถือสินทรัพย์ทั้ง100 เปอร์เซ็นต์ อย่าทุ่มการลงทุนไปในสินทรัพย์กลุ่มเดียว ควรมีเงินสดไว้ด้วยเพราะสินทรัพย์ช่วงนี้มีจะโอกาสที่จะราคาผันผวนสูง อย่าพยายามสร้างหนี้สินเพิ่ม ไม่ควรกู้เงินมาลงทุนเด็ดขาด

ในส่วนของสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นเป็นสินทรัพย์เสี่ยงสูง ควรศึกษาหาความรู้ให้เข้าใจ เทรดแบบมองข้อมูลเชิงพื้นฐานและศึกษาข้อมูลเชิงลึกด้วยเพื่อป้องกันความเสี่ยง ที่สำคัญคือ ต้องใช้สติ และวิจารณญาณในการลงทุน และจะซื้อขายให้ปลอดภัย ต้องผ่านเว็บเทรดที่ได้รับใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลจาก ก.ล.ต. อย่าง Satang Pro ที่เน้นการพัฒนาระบบความเสถียร รวดเร็ว ตลอดจนรักษามาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูลและสินทรัพย์ของลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง

 

 

พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์  ศิลาวงษ์