โนเบิลเหยียบคันเร่งผุดโครงการใหม่ หลังคนกลัวขึ้นราคารีบตัดสินใจซื้อ

โนเบิลเหยียบคันเร่งผุดโครงการใหม่  หลังคนกลัวขึ้นราคารีบตัดสินใจซื้อ

โนเบิล เหยียบคันเร่งผุดโครงการใหม่เต็มพิกัดจ่อเปิดตัว 5 โครงการมูลค่า1.2หมื่นล้านในไตรมาสสองครึ่งหลังเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มอีก8 โครงการมูลค่า2หมื่นล้านบาทหลังคนกลัวบ้าน -คอนโดขึ้นราคาจึงรีบตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น

นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท   โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)   กล่าวว่า บริษัทเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้ โดยในช่วงไตรมาส 2/2565 บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 12,300 ล้านบาท ได้แก่ 1.โครงการ โนเบิล คิวเรทเป็นโครงการที่ดินระดับลักซ์ชัวรี่ 2. โครงการนิว ครอส คูคต สเตชัน เฟส 1 เป็นโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise 3. โครงการ โนเบิล เคิร์ฟ เป็นโครงการทาวน์เฮ้าส์ 4. โครงการ โนเบิล ครีเอท เป็นโครงการคอนโดมิเนียมแบบ High Rise 5. โครงการ โคฟ -นอร์ธ ราชพฤกษ์ เป็นโครงการทาวน์เฮ้าส์  ซึ่งบริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการ โนเบิล คิวเรท และโครงการนิว ครอส คูคต สเตชัน เฟส 1 ไปแล้วเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มอีก จำนวน 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 20,400 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งปีตามเป้าที่ตั้งไว้จำนวน 18 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 47,700 ล้านบาท โดยการเปิดตัวโครงการทั้งหมดเป็นกระจายสินค้าให้หลากหลายคลอบคลุมทุกทิศของกรุงเทพฯ

"ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ลูกค้าจะเป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและกลุ่มนักลงทุนตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยเร็วขึ้น โดยมีปัจจัยเร่งจากราคาของวัสดุก่อสร้าง มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น และเชื่อว่าผู้ประกอบการน่าจะปรับราคาสินค้าขึ้นในอนาคต เพื่อให้สอดคล้องกับราคาต้นทุนที่สูงขึ้นจึงรีบตัดสินใจซื้อในช่วงนี้ ประกอบกับแนวโน้มที่จะมีการกลับมาเปิดประเทศ ซึ่งจะเข้ามาช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจและรายได้ของคนในประเทศ อีกทั้งยังเป็นโอกาสที่จะช่วยผลักดันกำลังซื้อ จากต่างชาติเข้ามาเพิ่ม โดยเฉพาะลูกค้าชาวจีนที่ยังคงมีการสอบถามเข้ามาอย่างต่อเนื่อง"

นายธงชัย  กล่าวว่า  ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในขณะนี้เริ่มมีการฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดยจะเห็นจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่เริ่มกลับเข้ามาแข็งแกร่งขึ้นหลังจากสถานการณ์ของโควิด-19 เริ่มคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น ในขณะเดียวกันต้องยอมรับว่าด้วยสถานการณ์ราคาวัสดุก่อสร้างที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเร่งตัดสินใจเร็วขึ้น


 จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยสะท้อนได้จากยอดขาย (Pre-sale) ของ NOBLE ในช่วงไตรมาส 1/2565 ที่สามารถสร้างยอดขายได้ ในระดับกว่า 6,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 150% YoY และเพิ่มขึ้น 155% QoQ  ซึ่งยอดขายดังกล่าวถือเป็นการสร้างการเติบโตที่ทำสถิติสูงสุดใหม่รายไตรมาส (New Highs) และที่สำคัญยังเป็นการเติบโตสูงเกือบเท่ากับทั้งปีของปี 2564 ที่ทำได้ 8,035 ล้านบาท ซึ่งยอดขายที่ทุบสถิติดังกล่าวเป็นยอดขายจากโครงการต่อเนื่องในปี 2564

ประกอบกับไตรมาส 1/2565 มีโครงการที่เปิดขายใหม่จำนวน 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 15,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการ นิว ดิสทริค อาร์9 , 2.โครงการ นิว เมกา พลัส บางนา 3.โครงการ นิว ซี-สแควร์ สวนหลวง สเตชั่น  4.โครงการ นิว อีโว อารีย์ และ 5.โครงการ นิว คอนเน็กซ์ คอนโด ดอนเมือง ซึ่งทุกโครงการได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีสะท้อนให้เห็นจาก ยอดขายเฉลี่ย 40%-50% ของทุกโครงการรวมกัน
 

อย่างไรก็ตาม ด้านผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1/2565 บริษัทฯมีรายได้รวม 1,496 ล้านบาท ลดลง 44% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากไตรมาส 1/2565 บริษัทฯไม่มีโครงการใหม่ที่สร้างเสร็จพร้อมโอนเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 1/2564 ที่มีโครงการสร้างเสร็จใหม่พร้อมโอน

สำหรับโครงการที่รับรู้ในไตรมาส 1/2565 มาจาก 4 โครงการหลัก ประกอบด้วย 1.โครงการ โนเบิล บี19 สุขุทวิท 2.โครงการ นิว โนเบิล แจ้งวัฒนะ 3.โครงการ นิว โนเบิล คอนเน็กซ์ เฮ้าส์ ดอนเมือง และ 4.โครงการ โนเบิล เกเบิล วัชรพล ซึ่งทั้ง 4 โครงการเป็นโครงการเดิมที่โอนกรรมสิทธิ์ต่อเนื่องจากช่วงปลายปี 2564

ทั้งนี้ จากยอดขายที่เติบโตอย่างมากในช่วงไตรมาส 1/2565 ส่งผลให้ยอดขายรอโอน (Backlog) ของบริษัทเพิ่มขึ้นทะลุกว่า 15,400 ล้านบาทจาก ณ สิ้นปี 2564 ที่อยู่ในระดับ 10,000 ล้านบาท

โดยจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้และ 2-3 ปีข้างหน้า ส่งผลให้บริษัทฯยังคงเชื่อว่าในปี 2565 จะสามารถสร้างรายได้เติบโตมากกว่าปี 2564 อย่างแน่นอน และเชื่อว่าในปี 2566 จะเห็นการเติบโตของรายได้ที่ระดับ 15,000 ล้านบาท จากการรับรู้ Backlog ในมือ อีกทั้งยังเตรียมเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่ๆ ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้เร็วขึ้น

นายธงชัย  กล่าวว่า ส่วนแผนการลงทุน ในสหราชอาณาจักร มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยมีความยืดหยุ่นในการเข้าลงทุนจากการเข้าซื้อสินทรัพย์ทั้งอาคารเป็นแบบ Bulk ยูนิต หรือการซื้อเป็นจำนวนหลายๆห้อง (Bulk Deal) แทน

เนื่องจากการซื้อเป็นยูนิตจะมีการแข่งขั้นที่น้อยกว่าการซื้อทั้งอาคารและรวดเร็วกว่า ซึ่งจะสามารถสร้างอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ได้ในระดับที่ 20% สอดคล้องกับธุรกิจหลักที่อยู่ในประเทศไทย โดยในปี 2565 บริษัทฯได้วางเป้าหมายจะซื้อสินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์ในประเทศอังกฤษ จำนวน 550 ยูนิต ภายใต้วงเงินลงทุน 100 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง (ซึ่ง NOBLE จะลงทุน 45% ตามสัดส่วน) โดยในไตรมาส1/2565 บริษัทฯได้มีการซื้อสินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์ไปแล้วจำนวน 84 ยูนิต