ปฏิบัติการเขย่า “ทรัสต์” คริปโทฯ จาก LUNA ถึง BITCOIN
เดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ภาวะเทขายทิ้งสินทรัพย์เสี่ยงเกิด “ แพนิคเซล” ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อตลาดคริปโทเคอร์เรนซี ตลาดหุ้น ตลาดทองคำ (มีการซื้อขายเก็งกำไร) รวมทั้งสินทรัพย์ที่มีการเก็งราคาสูงก่อนหน้านี้ เช่น รถยนต์ กระเป๋าแบรนด์เนม นาฬิกาหรู
ปัจจัยสำคัญมาจากนักลงทุนไม่เชื่อมั่นว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ควบคุม เงินเฟ้อได้ภายใต้นโยบายขึ้น อัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งจากนี้ 0.50 % ทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่า FED จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ย 0.75 % ครั้งถัดไป (14-15 มิ.ย.65) เพื่อ สกัดเงินเฟ้อ ที่พุ่งสูงสุดในระดับ 40 ปี ที่ 8.3 % เดือนเม.ย. ที่ผ่านมา
ดังนั้นจึงเห็นการดึงสภาพคล่องในตลาดเหล่านี้เพื่อนำไปฝากหรือลงทุนใน สกุลเงินดอลลาร์ ที่มีอัตราค่าเงินแข็งค่ามากกว่าสกุลเงินอื่น ส่งผลทำให้ค่าเงินหลายประเทศที่อิงกับดอลลาร์ต่างพากันอ่อนค่าต่ำสุดในรอบหลายปี
ภาวะดังกล่าวส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นที่มีมูลค่ามหาศาล และมีสภาพคล่องสูงจนทำให้เกิดการเทขายในตลาดหุ้นหลายประเทศ แต่สิ่งที่สร้างความตื่นตระหนัก และเกิดเป็น โดมิโน่เอฟเฟกต์การปรับตัวร่วงลงอย่างรุนแรงของเหรียญคริปโทฯ ชื่อว่า LUNA ของแพลตฟอร์ม Terra ในวันที่ 12 พ.ค. ที่ผ่านมา จนมีการพูดถึงปรากฏการณ์ที่เกิดว่าเป็นการโจมตีเหรียญ LUNA เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับค่าเงินบาทจนเกิด “วิกฤติต้มยำกุ้ง”
ราคาเหรียญ LUNA ใช้คำว่าดิ่งเหวเลยก็ว่าได้ จากราคาที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วภายใต้การซื้อขาย 24 ชั่วโมง ซึ่งราคาเหรียญตั้งแต่ต้นปีมีทิศทางขาขึ้นเพราะสามารถไปปิดที่ราคา 116.11 เหรียญต่อดอลลาร์สิ้นมี.ค. แต่ราคาพลิกผันรุนแรงจากการซื้อวันที่ 11 พ.ค. ที่ราคาลงมาปิดที่ 1.07 เหรียญต่อดอลลาร์ ลดลงจากวันก่อน 93 %
เมื่อราคาร่วงหนักย่อมมีนักลงทุนคาดหวังว่าจะเห็นการรีบาวด์ แต่ปรากฏราคาลงได้อีกซึ่งปิดต่ำกว่า 1 เหรียญต่อดอลลาร์ และลงไปต่ำสุดที่ 0.0001255 เหรียญต่อดอลลาร์ (16 พ.ค.) หรือลดลงไปจากต้นปี 68.10 ล้านเปอร์เซ็นต์ !!!
ช่วงเวลาดังกล่าวเกิดทั้ง “เศรษฐีหน้าใหม่” และ “คนจนภายในชั่วพริบตา” เพราะมีการเข้าไปลงทุนในตลาดฟิวเจอร์ ทั้ง ฝั่งซื้อ หรือ Long และ ฝั่งขาย หรือ Short ด้วยการ “Leverage” ได้ถึง 50 เท่า เรียกง่ายๆ ว่าเป็นการลงทุนจำนวนเงินที่น้อยแต่สามารถเพิ่มกำลังซื้อสูง ซึ่งถ้าคาดการณ์ถูกได้ผลตอบแทน 50 เท่า ทางกลับกันคาดการณ์ผิดขาดทุนได้ถึง 50 เท่า เช่นกัน
อย่างไรก็ตามต้นสายปลายเหตุจะเกิดจากการโจมตีหรือเกิดจากการสบช่องเพื่อหาผลประโยชน์ ต้องยอมรับว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดกับ LUNA สามารถเขย่า ความเชื่อมั่น หรือ TRUST ต่อคริปโทฯ ที่อาศัยระบบบล็อกเชน (Bock chain ) ว่าไม่สามารถทำการแฮคระบบหรือเข้าไปแทรกแซงได้ (หากไม่มีช่องโหว่เพียงพอ)
เนื่องจากเหรียญ LUNA มีความแตกต่างจากคริปโทฯ อื่น เพราะใช้ในการสนับสนุนแพลตฟอร์มชื่อว่า Terra ของสัญชาติเกาหลีมีผู้ก่อตั้งชื่อ Danie Shin และ Do Kwon ซึ่งมีการพัฒนาและนำเหรียญไปใช้ในการปล่อยกู้ Decentralized Finance หรือ Defi และยังเป็นเหรียญเครือข่ายของ Stablecoin อิงมูลค่าเงินเฟียต และสกุลเงิน KRT ที่หนุนสกุลเงินวอนของเกาหลีใต้ และรัฐบาลเกาหลีใต้ให้การยอมรับจนสร้างการเชื่อมต่อชำระเงิน กับธนาคารในเกาหลีใต้ได้อีกด้วย
การอ้างอิงกับสกุลเงินเฟียตของ LUNA มี UST ที่อิงกับค่าเงินดอลลาร์ที่มีความเชื่อมั่นว่ามูลค่าไม่เปลี่ยนแปลง และแทบจะไม่มีความผันผวนเกิดขึ้นเลย จนทำให้เป็น Stablecoin ที่ได้รับความนิยมซื้อขายติด 1 ใน 10 อันดับแรกของของตลาดคริปโทฯ
เมื่อดูส่วนแบ่งในตลาดคริปโทฯ แล้วผลกระทบที่เกิดขึ้นกับ LUNA มีมูลค่าสูงมากเพราะนักลงทุนมีการนำสินทรัพย์อื่นมาปิดความเสี่ยงในเหรียญที่ถูกโจมตีไม่ว่าจะเป็น บิตคอยน์ (BTICOIN) หุ้น หรือสินทรัพย์มูลค่าสูงอื่นๆ จากการ Leverage อัตราที่สูง
หากแต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นยังไม่สูงมากที่สุดเมื่อเทียบมูลค่าตลาดคริปโทฯ ไปอยู่ที่ BITCOIN มากถึง 40 % จากมาร์เก็ตแคปที่ 1.42 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งความป๊อปปูล่าของตลาดคริปโทฯ ในไทยแทบไม่ต้องบรรยายจากจำนวนบัญชีที่มีการเปิดซื้อขายถือว่าติดอันดับต้นๆ ของโลกก็ว่าได้
เฉพาะที่มีการเก็บข้อมูลให้กับทางสำนักงาน ก.ล.ต. จำนวนผู้ที่เปิดบัญชีแตะ 2.68 ล้านบัญชี เพิ่มจากปี 2564 มีบัญชีมากกว่า 1.77 ล้านบัญชี ต้นปี 2563 มีจำนวนผู้เปิดบัญชี 7 แสนบัญชี และปี 2562 จำนวนบัญชี 1.4 แสนบัญชี ที่สำคัญยังเป็นจำนวนบัญชีที่ขึ้นมาเท่ากับบัญชีหุ้นเปิดทำการ 40 ปี ที่มีเกือบ 2 ล้านบัญชี หรือบัญชีลงทุนในกองทุน 1.6 ล้านบัญชี
หลังจากปฏิบัติการโจมตี LUNA ยังไม่มีใครตอบได้ว่าจะเกิดขึ้นกับเหรียญไหนอีก หรือในรูปแบบใด และหากเกิดกับ BITCOIN ที่มีมูลค่าสูงที่สุดเกิดอะไรขึ้น ? เมื่อมีการเขย่า TRUST ในตลาดคริปโทฯ ให้เริ่มสั่นคลอนบ้างแล้ว
พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์ ศิลาวงษ์