เงินบาทวันนี้เปิด ’แข็งค่า’ ที่34.48บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทวันนี้เปิด ’แข็งค่า’ ที่34.48บาทต่อดอลลาร์

“กรุงไทย” ชี้ตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยง ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น แต่ตลาดยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง ทำให้เงินบาทยังมีโอกาสที่จะผันผวนในฝั่งอ่อนค่าได้ หากตลาดกลับมากังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟ มองกรอบเงินบาทวันนี้ที่ระดับ 34.40-34.80 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(18พ.ค.) ที่ระดับ  34.48 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.52 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดอยู่ที่ระดับ34.40-34.80บาทต่อดอลลาร์

แนวโน้มค่าเงินบาท มองว่า ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง ทำให้เงินบาทยังมีโอกาสที่จะผันผวนในฝั่งอ่อนค่าได้ หากตลาดกลับมากังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด 

 

รวมถึงความกังวลผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรพลังงานรัสเซีย ซึ่งอาจทำให้เงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าได้อีกครั้ง อนึ่ง การแข็งค่าของเงินบาทอาจจำกัดอยู่ในโซน 34.40-34.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่บรรดาผู้นำเข้าต่างรอซื้อเงินดอลลาร์

ทั้งนี้ ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง เราคงแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ ใช้ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

ผู้เล่นในตลาดการเงินเริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ท่ามกลางความหวังว่า ทางการจีนอาจทยอยผ่อนคลายและยุติมาตรการ Lockdown ได้ในวันที่ 1 มิถุนายน นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากถ้อยแถลงของประธานเฟดJerome Powell ที่ส่งสัญญาณทยอยขึ้นดอกเบี้ยราว 0.50% ในการประชุม 2 ครั้งหน้า เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อสอดคล้องกับมุมมองตลาดคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ ประธานเฟดยังได้เน้นย้ำว่า การขึ้นดอกเบี้ยของเฟด เพื่อคุมปัญหานั้นจะทำให้เศรษฐกิจชะลอลง (Soft Landing) แต่คงไม่ถึงขั้นเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย เนื่องจากตลาดแรงงานยังมีความแข็งแกร่งอยู่ 

ทางด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั้น ผู้เล่นบางส่วนใช้จังหวะการปรับฐานหนักของหุ้นในการเข้าซื้อ (Buy on Dip) ท่ามกลางรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนเมษายน ที่ขยายตัว +0.9% จากเดือนก่อนหน้าตามคาด สะท้อนว่าการบริโภคในสหรัฐฯ ยังขยายตัวได้ดี แม้ว่าจะเผชิญภาวะเงินเฟ้อสูงก็ตาม นอกจากนี้รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาดถึง 77% (ของกว่า 91% บริษัทบน S&P500 ที่ได้ประกาศผลประกอบการแล้ว) ก็ได้ช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น โดย ดัชนี S&P500 ปิดตลาด+2.02% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq สามารถกลับมาปิดตลาดที่ +2.76% หนุนโดยแรงซื้อหุ้นเทคฯ ใหญ่ที่ปรับตัวลงแรงก่อนหน้า อาทิ Tesla +5.1%, Amazon +4.1%, Apple +2.5%

ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรปก็ปรับตัวขึ้นกว่า +1.5% เช่นกัน ท่ามกลางความหวังว่าทางการจีนจะสามารถทยอยผ่อนคลายและยุติมาตรการ Lockdown หนุนให้หุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมต่างปรับตัวสูงขึ้น อาทิ Louis Vuitton +2.6%, Kering +2.1% ขณะเดียวกัน รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนยุโรปส่วนใหญ่ยังคงออกมาดีกว่าคาดก็ยังคงช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้น อย่างไรก็ดี เรามองว่า ตลาดหุ้นยุโรปยังคงเผชิญความไม่แน่นอนจากผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น หากมีการตัดสินใจคว่ำบาตรการนำเข้าพลังงานจากรัสเซียที่รุนแรง จึงยังคงแนะนำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปไปก่อน

ในฝั่งตลาดบอนด์ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวมได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดลดการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยลงบ้าง ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 2.99% ทั้งนี้ ตลาดการเงินยังคงมีโอกาสเผชิญภาวะปิดรับความเสี่ยงอยู่ จากความกังวลแนวโน้มเฟดอาจเร่งขึ้นดอกเบี้ย หากเงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังไม่ชะลอตัวอย่างชัดเจน หรือ ความกังวลผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรพลังงานจากรัสเซีย ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯมีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบ Sideways และผู้เล่นในตลาดอาจเน้นเทรดในกรอบ (Buy on Dip and Sell on Rally)

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ทำให้ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) สามารถปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 103.3 จุด หลังตลาดกลับมาทยอยเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ทำให้ผู้เล่นบางส่วนทยอยลดการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย อย่าง เงินดอลลาร์ อย่างไรก็ดี แม้ว่า เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ จะปรับตัวลดลง ทว่า ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดได้กดดันให้ ราคาทองคำปรับตัวลงต่อเนื่องสู่ระดับ1,815 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราคาดว่า ผู้เล่นในตลาดอาจรอเข้าซื้อทองคำ หากราคามีการปรับตัวใกล้โซนแนวรับก่อนหน้าแถว 1,780-1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามข้อมูลเงินเฟ้อจากฝั่งยุโรป ซึ่งหากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงถึง 7.5% หรือมากกว่า ก็อาจเป็นแรงกดดันให้ ธนาคากลางยุโรป อาจเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวด อาทิ การขึ้นดอกเบี้ยได้เร็วขึ้น