ส.อ.ท. เผยเดือนเม.ย. ยอดขายรถในประเทศโต 9.11% ดันยอดผลิตและส่งออก
ส.อ.ท. เผยเดือนเม.ย. ยอดขายรถในประเทศโต 9.11% ดันยอดผลิตและส่งออกรถยนต์ตัวเลขดีขึ้น แม้ยังเผชิญปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ ฉุดยอดผลิตรถยนต์นั่ง 21.53%
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยว่า เดือน เม.ย. 2565 ยอดขายรถยนต์ในประเทศยู่ที่ 63,427 คัน เพิ่มขึ้น 9.11% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง 27.30% จากเดือนก่อนหน้า เนื่องจากการผ่อนคลายการล็อกดาวน์และการอนุญาตให้จัดงานสงกรานต์ในวงจำกัด รวมทั้งการส่งมอบรถยนต์ให้ผู้จองรถยนต์ในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ ที่สิ้นสุดวันที่ 3 เมษายน เพื่อเดินทางกลับภูมิลำเนา การผ่อนคลายข้อจำกัดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศให้มีความสะดวกมากขึ้น ทำให้มีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น
ทั้งนี้ ยังต้องจับตาราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมากและค่าเงินบาทที่อ่อนค่ามากในรอบหลายปีจะทำให้ต้นทุนสินค้าหลายอย่างเพิ่มขึ้นรวมทั้งหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงจะทำให้อำนาจซื้อของประชาชนลดลง
ขณะที่ยอดขายในประเทศช่วง 4 เดือนแรกอยู่ที่ 294,616 คัน เพิ่มขึ้น 16.79% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับจำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือน เม.ย. 2565 มีทั้งสิ้น 117,786 คัน เพิ่มขึ้น 12.87% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากในปีนี้มียอดขายรถยนต์นั่งและรถกระบะขายในประเทศเพิ่มขึ้น ส่วนการผลิตรถยนต์นั่งเพื่อส่งออกยังคงลดลง 21.53% จากการขาดชิ้นส่วนและเซมิคอนดักเตอร์ของรถบางรุ่น แต่ผลิตรถกระบะเพื่อส่งออกเพิ่มขึ้น 6.17% ส่งผลให้จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 597,864 คัน เพิ่มขึ้น 4.85% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ด้านยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปอยู่ที่ 55,696 คัน ขยายตัวเพิ่มขึ้น 5.33% จากเดือน เม.ย.64 แต่ลดลง 40.65% จากเดือน มี.ค.65 โดยการส่งออกเพิ่มขึ้นเป็นเดือนแรกในปีนี้จากรถกระบะเป็นหลัก ทำให้ส่งออกเพิ่มขึ้นในตลาดเอเชีย ตะวันออกกลาง อเมริกาเหนือ อเมริกากลางและอเมริกาใต้ โดยมีมูลค่าการส่งออก 33,480.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.34% จากเดือน เม.ย.64
ขณะที่การส่งออกในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-เม.ย.65) อยู่ที่ 298,720 คัน ลดลง 3.94% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่มีมูลค่าการส่งออก 177,646.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.68% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เชื่อว่ามูลค่าการส่งออกในปีนี้จะขยายตัวได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ 5%
สำหรับสถานการณ์ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศมีการจดทะเบียนเพิ่มขึ้นตามทิศทางตลาดโลก เนื่องจากภาครัฐมีมาตรการสนับสนุน ทั้งในเรื่องการปรับลดภาษีสรรพสามิตนำเข้า ส่วนลด และการติดตั้งสถานีชาร์จไฟเพิ่มเติม ประกอบกับราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจึงเป็นตัวกระตุ้นความต้องการใช้มากขึ้น
โดยในเดือน เม.ย.65 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่จำนวน 1,232 คัน เพิ่มขึ้น 197.58% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้มียอดจดทะเบียนใหม่สะสมจำนวน 4,131 คัน เพิ่มขึ้น 145.31% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ประเภท HEV มียอดจดทะเบียนใหม่จำนวน 4,709 คัน เพิ่มขึ้น 64.19% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้มียอดจดทะเบียนใหม่สะสมจำนวน 21,731 คัน เพิ่มขึ้น 42.40% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
ประเภท PHEV มียอดจดทะเบียนใหม่จำนวน 837 คัน เพิ่มขึ้น 45.31% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้มียอดจดทะเบียนใหม่สะสมจำนวน 3,806 คัน เพิ่มขึ้น 56.56% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ส่งผลให้ปัจจุบันมียานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV ณ วันที่ 30 เมษายน 2565 จำนวนทั้งสิ้น 15,474 คัน เพิ่มขึ้น 113.43% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า ส่วนประเภท HEV มีจำนวนทั้งสิ้น 218,086 คัน เพิ่มขึ้น 23.67% จากปีที่แล้ว และประเภท PHEV มีจำนวนทั้งสิ้น 34,938 คัน เพิ่มขึ้น 31.68% จากปีที่แล้ว