ภาพรวมปีนี้ยังเป็น sideway เก็งกำไรระยะสั้นใช้ 1,620 เป็นจุดเฝ้าระวัง
รายงานการประชุมเฟดไม่มีข้อมูลที่เป็นลบเพิ่มขึ้น รายงานการประชุมเฟดรอบ 3-4 พ.ค.ที่เผยแพร่เมื่อคืน สะท้อนให้เห็นว่ากรรมการเฟดส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมรอบมิ.ย.และก.ค. เพื่อป้องกันเงินเฟ้อ
ขณะที่กรรมการมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะทำให้เฟดสามารถใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงินเพื่อสกัดเงินเฟ้อ โดยไม่ทำให้เศรษฐกิจถดถอย ซึ่งเมื่อรวมกับความเห็นของประธานเฟดแอตแลนต้า ราฟาเอล บอสติค ที่กล่าวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (23 พ.ค.) ว่าการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบก.ย.เป็นไปได้ หากเงินเฟ้อมีสัญญาณปรับลดลง ซึ่งมุมมองดังกล่าวทำให้นักลงทุนมองเห็นความเป็นไปได้เชิงบวกของตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงในช่วงปลายปี อย่างไรก็ตามเรายังคงมุมมองภาพการลงทุนของ SET Index ปีนี้ เป็นการเคลื่อนไหวออกข้าง มากกว่าที่จะเป็นขาขึ้นหรือลงอย่างชัดเจน ทำให้ความสำคัญจะอยู่ที่การเลือกหุ้นรายตัวที่อยู่ในแนวโน้มจะได้รับอานิสงค์จากโมเมนตัมการฟื้นของเศรษฐกิจในช่วงถัดไป หรือมีปัจจัยบวกรายตัว
เงินอาจไหลเข้าพันธบัตรในช่วงที่นักลงทุนกังวลแนวโน้มการเติบโต ในสภาวะปกติการลดลงของผลตอบแทนพันธบัตรจะเป็นสัญญาณบวกต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ปัจุบันที่นักลงทุนกังวลกับมุมมองการเติบโตของเศรษฐกิจและความเสี่ยงจากการปรับลดประมาณการกำไรบจ. ทำให้อาจตัดสินใจพักเงินไว้ในสินทรัพย์ปลอดภัยระหว่างรอสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ที่จะยืนยันว่าจะไม่เกิดความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย // เรามองทิศทางเงินทุนไหลเข้าระยะสั้นอาจชะลอจากปัจจัยข้างต้น อย่างไรก็ตามโมเมนตัมการเติบโตของอาเซียนที่ดีกว่ายุโรปและสหรัฐฯ ทำให้ความเสี่ยงของตลาดหุ้นอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า // ทั้งนี้เราคงมุมมองตลาดหุ้นไทยปีนี้เคลื่อนไหวออกข้างในกรอบ 1,540-1,730 จุด โดยมีกรอบการเก็งกำไรระยะสั้นที่ 1,620-1,643 จุด
ประเด็นเก็งกำไรอื่น 1) กลุ่มเครื่องดื่ม อาทิ OSP, CBG, ICHI, SAPPE 2) กลุ่มท่องเที่ยว CENTEL, ERW, MINT, BAFS, AAV, SHR 3) กลุ่มเปิดเมือง CPALL, MAKRO 4) กลุ่มมีลุ้นเข้า SET50 ได้แก่ JMT, JMART 5) กอง REIT ได้แก่ FTREIT, WHART 6) ขณะที่หุ้นกลาง-เล็กที่สามารถเลือกเก็งกำไร (แบบกำหนดจุดตัดขาดทุน) ในช่วงนี้ ได้แก่ THREL, BLA, MAJOR, TH, SCN, SCI, CMR, TKN, SPA เป็นต้น 7) หุ้นกลุ่มเก็งราคาน้ำมันลง SCGP, BJC, EPG, SCC 8) หุ้นเด่นกลุ่มพลังงาน OR 9) กลุ่มอาหารและเกษตร CPF, GFPT, TFG, TU, KSL, KTIS, KBS
ภาพรวมกลยุทธ์: แกว่งตัว 1,620-1,643 จุด หากผ่านจะยกกรอบการเล่นขึ้นและมีโอกาสทดสอบ 1,660 จุด แต่หากหลุดจะเพิ่มความเสี่ยงของการปรับฐานในระดับต่ำกว่า 1,600 จุดอีกรอบ ภาพรวมยังเน้นในหุ้นใหญ่พื้นฐานดีที่ valuation ไม่แพงหรือกระแสเงินสดสูงที่สามารถจำกัด downside risk ได้เป็นหลัก และใช้จังหวะปรับลดลงแรงในการทยอยซื้อหรือสะสมรายตัว //หุ้นแนะนำ: CPF*, ASW*, TTCL*, OR*
แนวรับ: 1,620 / แนวต้าน : 1,643 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%
ประเด็นการลงทุน
สหรัฐเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเพิ่มขึ้น 0.4% - ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนเม.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนมี.ค.
สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอสินเชื่อจำนองลดลง - ลดลง 1.2% สัปดาห์ที่แล้ว ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
สหรัฐห้ามรัสเซียชำระหนี้พันธบัตรผ่านแบงก์อเมริกัน – มาตรการดังกล่าวจะส่งผลให้รัสเซียมีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้ รัสเซียมีกำหนดชำระหนี้พันธบัตรสกุลเงินดอลลาร์มูลค่าเกือบ 400 ล้านดอลลาร์ในวันที่ 23-24 มิ.ย.
Tesla จดทะเบียน เทสลา (ประเทศไทย) – ทุนจดทะเบียน 3 ล้านบาท ประกอบกิจการขายรถยนต์ไฟฟ้า ระบบเก็บพลังงานแบบติดตั้ง และอุปกรณ์ที่ใช้กับระบบเก็บพลังงานแบบติดตั้ง ระบบผลิตพลังงานและอุปกรณ์ที่ใช้กับผลิตพลังงาน ทำให้นอกจากจะขายรถยนต์แล้ว น่าจะรวมถึงระบบการชาร์ต รวมถึงระบบโซลาร์รูฟ
GULF ตั้งบริษัทร่วม GUNKUL ปักหมุดโรงไฟฟ้าสะอาด – เดินหน้าการลงทุนและพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียน อาทิ โรงไฟฟ้าลม-แสงอาทิตย์ ทั้งในและต่างประเทศ ปักธงเป้ากำลังการผลิตแตะระดับ 1,000 เมกะวัตต์ภายใน 5 ปี
ตลท.ให้ BIS ใช้เกณฑ์ Cash Balance - เริ่ม 26 พ.ค.-15 มิ.ย.65
หุ้นมีโอกาสเข้าเกณฑ์ Cash balance – ได้แก่ ALL, FSMART, ARIN, NBC
คาดเข้า/ออก SET50 – คาดเข้า JMT, JMART, BLA /คาดออก RATCH, STGT, KCE
คาดเข้า/ออก SET100 – คาดเข้า SABUY, TIPH, JAS /คาดออก RS, TTA, MAJOR
ประเด็นติดตาม: 26 พ.ค. – US GDP Q1, US Initial Jobless Claims, US Pending Home Sales / 30 พ.ค. – China Manufacturing PMI / 31 พ.ค. – EU CPI, US Consumer Confidence
(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)