สิงห์ เอสเตทเบรกคอนโดลุยบ้านหรูเจาะเศรษฐีดันรายได้โตเหนือตลาด
หลังเผชิญโควิดกว่า 2 ปี เส้นทางจากนี้ “สิงห์ เอสเตท” เบรกการลงทุนคอนโด! หลังตลาดหดตัวต่อเนื่อง ไร้วี่แววกำลังซื้อต่างชาติเข้ามาเสริมทัพ หันปูพรมบ้านสร้างเสร็จราคา10-100 ล้านบาท เจาะกลุ่มกำลังซื้อสูงที่ต้องการบ้านสร้างเสร็จพร้อมอยู่ ผลักดันรายได้เติบโตเหนือตลาด
ณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า 2 ปีที่ผ่านมาตลาอสังหาริมทรัพย์เปลี่ยนไป! ทั้งเทรนด์ ดีมานด์ ซัพพลาย
แต่วันนี้ สิงห์ เอสเตท กล้าที่จะตั้งเป้าเติบโตอย่างท้าทาย ด้วยการเดินหน้าพัฒนาโครงการให้บรรลุเป้าหมาย 5 ปี เปิดตัวโครงการมูลค่า 52,000 ล้านบาท เป็นแนวราบ 75% มูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท อีก 22,000 ล้านบาท หรือ 25% เป็นคอนโด
“คอนโดยังคงทำอยู่ เพราะเชื่อว่าวันหนึ่งตลาดจะกลับมา แต่ช่วงเวลานี้ยังมีซัพพลายเหลืออยู่ และลูกค้าหลักคนจีนยังไม่กลับมา เทียบแนวราบจะเห็นชัดเจนว่าเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ”
จากตัวเลขปี 2561 ตลาดอสังหาฯ 60% เป็นคอนโด 40% เป็นแนวราบจากนั้นตลาดคอนโดเริ่มลดลง ยิ่งเมื่อเกิดโควิด-19 ในปี 2562 และ ปี 2564 คอนโดเหลือสัดส่วน 27% แนวราบพุ่งขึ้น 73% ซึ่งดีเวลลอปเปอร์ทุกรายต่างหันมารุกตลาดแนวราบหลังเกิดโรคระบาด ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อที่อยู่อาศัย เนื่องจากมีการทำงานที่บ้าน (Work from home ) พฤติกรรมการใช้ชีวิตเปลี่ยน ทำให้ตลาดแนวราบเติบโต
ฉะนั้น 2 ปีที่ผ่านมาบริษัทจึงได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริษัท การพัฒนาสินค้า ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไปมากขึ้น
จากเดิมที่เคยทำคอนโด100% ต้องเปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับพอร์ตแนวราบ ภายใต้แนวคิด “RISE ABOVE” เพื่อการเติบโตที่เหนือกว่าตลาดและคู่แข่ง ชูจุดขายส่งมอบความเหนือระดับและประสบการณ์ Best-in-class ต่อยอดจากแบรนด์ “สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส” ที่มีระดับราคา 200-300ล้านบาทต่อยูนิต
สิงห์ เอสเตท วางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่แนวราบให้มีความหลากหลายยิ่งขึ้น โดยปี 2565 จะเปิดตัว 1 โครงการใหม่ มูลค่า 2,900 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส” บ้านระดับซูเปอร์ลักชัวรีราคา 65-120 ล้านบาทต่อหลัง เป็นโครงการสร้างเสร็จก่อนขาย จำนวน 32 ยูนิต ตั้งอยู่ในซอยพัฒนาการ 32 สามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังโซนธุรกิจสำคัญได้หลายเส้นทาง
ซึ่งคาแรกเตอร์ของโครงการจะเป็น Horizontal Luxury House ในรูปแบบบ้านเดี่ยว 2 ชั้น บนที่ดินกว่า 20 ไร่ เปิดตัวปลายเดือนก.ย.นี้ คาดปิดการขายได้ภายในปี 2566 ตั้งเป้าหมายโอนกรรมสิทธิ์ภายในไตรมาส 4/2565 ประมาณ 600 ล้านบาท
จากนั้นในปี 2566 จะเปิดตัวโครงการแนวราบอีก 2 แบรนด์ เป็นบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี บนโลเคชั่นพรีเมี่ยม ที่สะท้อนไลฟ์สไตล์ชีวิตคนเมือง ตอบโจทย์คนที่มีลูกต้องการอยู่ใกล้โรงเรียนและสิ่งอำนวยความสะดวก ราคา 20-50 ล้านบาท โครงการถูกออกแบบผสมผสานธรรมชาติให้เข้ากับการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัย เสมือนพักผ่อนในรีสอร์ทตากอากาศ
อีกโครงการเป็นบ้านเดี่ยวระดับ Affordable ลักชัวรี ในทำเลที่เดินทางสะดวก เข้าถึงใจกลางเมืองได้ง่ายด้วยระดับราคา 10-20 ล้านบาท เน้นการออกแบบที่มีความเป็นคนรุ่นใหม่ และฟังก์ชันตอบโจทย์การใช้ชีวิต
“ปีหน้าจะเปิดตัวโครงการแนวราบอีก 2 แบรนด์ 4 โครงการ มูลค่า 2,000-4,000 ล้านบาทต่อโครงการ และทยอยเปิดตัวโครงการต่อเนื่องปีละ 3,000-14,000 ล้านบาท จับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อแต่ต้องการบ้านในขนาดที่เล็กลงกว่าสันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส”
ณัฐวุฒิ คาดว่า ยอดโอนกรรมสิทธิ์ปีนี้ จะทำได้ตามเป้าหมาย 4,400 ล้านบาท ซึ่งสิ้นไตรมาสแรกที่ผ่านมา มียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวม 1,500 ล้านบาท จะทยอยรับรู้อย่างต่อเนื่องภายในปี 2565 บริษัทวางเป้าหมายยอดโอนกรรมสิทธิ์สะสม 5 ปีจากนี้ (2565-2569) 34,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 27% ต่อปี โดยปี 2565 จะมียอดโอนกรรมสิทธิ์ 4,400 ล้านบาท
ตั้งแต่ ปี 2569 จะมียอดโอนกรรมสิทธิ์สูงกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี ในอนาคตสัดส่วนรายได้จากกลุ่มที่อยู่อาศัยจะอยู่ที่ 35% ของพอร์ตรวม