GULF ลุยเพิ่มพอร์ต “ธุรกิจดิจิทัล-พลังงานหมุนเวียน”
“กัลฟ์” เผยมองหาโอกาสลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล -โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล-บล็อกเชน โดยเฉพาะในอีโคซิสเต็มท์ไบแนนซ์ หลังล่าสุด ทุ่ม 340 ล้าน ลงทุนกองทุนพัฒนาบล็อกเชน ไบแนนซ์แลป เล็งร่วมทุนธุรกิจโซลาร์รูฟเพิ่ม-ลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน-ก๊าซ ประเทศอังกฤษ-สหรัฐ
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า บริษัทยังคงมองหาโอกาสลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และเทคโนโลยีบล็อกเชน อย่างต่อเนื่อง เมื่อมีจังหวะเวลาที่เหมาะสม ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้เริ่มเข้าลงทุนในอีโคซิสเต็มท์ของไบแนนซ์
โดยในช่วงเดือนเม.ย.ที่ผ่านมานี้ บริษัทได้จัดตั้ง “บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด ” ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่ Gulf Innova และ Binance Capital Management ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 51 และร้อยละ 49 ตามลำดับ เป็นที่เรียบร้อย โดยมีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย
ทั้งนี้ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการขอใบอนุญาตต่างๆ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้บริษัทยังเข้าลงทุนในธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศอเมริกา (Binance.US) และสกุลเงินดิจิทัล BNB ซึ่งถือเป็นการเข้าไปมีส่วนร่วมใน Ecosystem ของ Binance ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี Blockchain Infrastructure ระดับโลก ซึ่ง GULF มองว่า cryptocurrency และ tokens เป็นทางเลือกหนึ่งในการระดมทุนในอนาคต และเป็นตลาดที่มีโอกาสเติบโตไปได้อีกมากในประเทศไทย
นอกจากนี้ Gulf International Investment (Hong Kong) Limited (Gulf HK) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้เข้าลงทุนใน Binance Labs Investment Fund (Binance Labs) ซึ่งเป็นกองทุน Venture Capital ที่จัดตั้งขึ้นใหม่ เพื่อลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และเทคโนโลยีบล็อกเชน โดยเน้นลงทุนในโครงการที่มี Use Cases ของ Cryptocurrenciesและโครงการที่ผลักดันการเข้าสู่ Web3 รวมถึง DeFi NFTs Metaverse และ Gaming โดยเข้าลงทุนรวมเป็นเงิน 10 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 340 ล้านบาท คำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยน 34 บาทต่อดอลลาร์) จากจากที่ Binance Labs มีการระดมทุนครั้งแรก จำนวน 500 ล้านดอลลาร์
นางสาวยุพาพิน กล่าวว่า Binance Labs เป็นธุรกิจ Venture Capitalของ Binance ที่เน้นการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนการเติบโตของระบบนิเวศบล็อกเชน ซึ่งการลงทุนในกองทุนของ Binance Labs จึงเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทฯ ได้ร่วมลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพที่ผ่านการคัดสรรโดยผู้จัดการกองทุนชั้นนำระดับสากลในอุตสาหกรรม อีกทั้งยังเป็นการเข้าไปมีส่วนร่วมในระบบนิเวศทางธุรกิจ (Ecosystem) ของ Binanceซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่รวดเร็วด้วย
นอกจากนี้ นางสาวยุพาพิน กล่าวว่า ทางด้านแผนธุรกิจของบริษัท ในปี 2565 จะเน้นเรื่อง Decarbonization และ Digitalization โดยในส่วนของ Decarbonization จะเน้นการลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานลม โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ
สำหรับขณะนี้บริษัทยังมีการพิจารณาร่วมทุนกับผู้ประกอบการในประเทศไทย เกี่ยวกับ โซลาร์รูฟท็อปอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยดีลได้ จากในช่วงที่ผ่านมานี้ ได้ร่วมมือกับผู้ประกอบการในไทย ไม่ว่าจะเป็น เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ,ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) , เซ็นทรัล คอร์ปอเรชั่น (CRC )และ กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL)
รวมถึงกำลังพิจารณาธุรกิจพลังงานหมุนเวียน และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ โดยมีความสนใจการลงทุนในปีะเืษอังกฤษและสหรัฐ เพื่อสนับสนุนปรับเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโต 80% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 49,983.74 ล้านบาท ขณะที่งบลงทุน 3-5 ปีข้างหน้าตั้งไว้ที่ 1 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่ราว 70-75% จะใช้ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เช่น โซลาร์รูฟท็อป โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ (เขื่อน) สอดคล้องกับนโยบายของบริษัทที่ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 30% ในปี 2573 ส่วนที่เหลือจะใช้เงินลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติราว 10%, โครงสร้างพื้นฐานฯ 10% และดิจิทัล 5%
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตคาดว่าสัดส่วนกำไรจะยังมาจากธุรกิจหลัก หรือ ธุรกิจพลังงาน ไม่ว่าจะเป็น โรงไฟฟ้าก๊าซ โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และคาดว่าธุรกิจดิจิทัลจะอยู่ที่ 15% ส่วนโครงศร้างพื้นฐานฯ คาดอยู่ที่ 5%