แบกต้นทุนไม่ไหว!บิ๊กแบรนด์อสังหาฯจ่อปรับราคาก.ค.ประเดิม 3-5%
สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ลากยาวกว่า 3 เดือน ส่งผลราคาพลังงาน “น้ำมัน” เป็นตัวสำคัญที่ทำให้ต้นทุนก่อสร้างพุ่งขึ้นถึง 10% ล่าสุด “เสนา ดีเวลลอปเม้นท์-แสนสิริ-พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” ออกมาประกาศปรับราคา 3-5% เนื่องจากแบกต้นทุนไม่ไหว ดีเดย์เดือน ก.ค.นี้
เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ค่าพลังงานที่สูงขึ้นส่งผลให้ภาคอสังหาฯ มีต้นทุนเพิ่มขึ้น 10% ทั้งราคาเหล็กก่อสร้างที่ปรับขึ้นจากกิโลกรัมละ 22 บาท เพิ่มเป็น 28 บาท รวมถึงคอนกรีตและสินค้าอื่นๆ ที่เป็นการซ้ำเติมภาคอสังหาฯ จากผลกระทบจากโควิด-19 ที่ทำให้ต้นทุนด้านแรงงานสูงขึ้นไปก่อนหน้านี้ ผู้ประกอบการเริ่มทยอยปรับราคาที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น
ในส่วนของเสนาฯ อาจจะมีการปรับเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 3 โดยมากน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละโครงการตามความเหมาะสม ซึ่งปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายรวม 90 โครงการ มูลค่า 52,617 ล้านบาท ในปี 2565 มี 49 โครงการใหม่ คิดเป็นมูลค่า 27,480 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวสูง 21 โครงการ แนวราบ 28 โครงการ ส่วนหนึ่งเกิดจากการควบรวมกิจการ บริษัท เจ.เอส.พี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JSP ในช่วงที่ผ่านมา
ปัจจุบัน เสนาฯ ได้ออกแคมเปญต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละกลุ่มลูกค้า รวมถึงการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาทุกโครงการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้ลูกบ้าน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ระบาด กว่า 2 ปีที่ผ่านมา ที่คนทำงานต้องปรับการใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ โดยทำงานอยู่ที่บ้าน ค่าไฟฟ้าจึงเป็นตัวแปรสำคัญ
อาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาต้นทุนค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้น 8% ต้นทุนหลักมาจากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องปรับราคาเพิ่มขึ้น 3-5% เพราะแบกต้นทุนที่สูงขึ้นไม่ไหวโดยมีการปรับราคาตามความจำเป็นเพื่อให้กระทบผู้บริโภคน้อยที่สุด ซึ่ง ต้นทุนราคาที่ดินบางแห่งเป็นต้นทุนเก่าทำให้ไม่จำเป็นต้องขึ้นราคาแบบบัญญัติไตรยางค์
วงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วิกฤติรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาพลังงานแพงขึ้นเกิดภาวะเงินเฟ้อ ทำให้ต้นทุนการก่อสร้างสูงขึ้น 7-10% ผู้ประกอบการอสังหาฯ ทุกบริษัทได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน คาดว่า ช่วงครึ่งปีหลัง ตั้งแต่เดือน ก.ค.เป็นต้นไป จะมีการปรับขึ้นราคาบ้านอย่างน้อย 5% โดยเฉพาะกลุ่มบ้านระดับบน ยังเป็นตลาดที่ผู้ซื้อ มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง อาจไม่กระทบมากนัก
ขณะที่บ้านราคาถูก หรือบ้านหลังแรก ที่กลุ่มลูกค้ามีความอ่อนไหวด้านราคานั้น การปรับขึ้นราคาอาจทำได้ยาก เพราะกระทบต่อการตัดสินใจซื้อ ถือเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ประกอบการที่จับลูกค้ากลุ่มนี้ ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ หันมาทำตลาดบ้านลักชัวรีมากขึ้น เพราะตลาดยังไปได้อยู่ แม้มีปัญหาเรื่องต้นทุนการพัฒนาที่สูงขึ้น แต่ “ราคา” ไม่มีปัญหาสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้
“แนวโน้มดังกล่าวทำให้บริษัทหันมาโฟกัสตลาดบ้านราคา 20 ล้านบาทขึ้นไปมากขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มลูกค้าที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ มีกำลังซื้อสูง กู้ธนาคารน้อยมาก"