“กลุ่มอสังหาฯ” ชี้ดอกเบี้ยขึ้น กระทบสั้น มองยาวบริหารต้นทุนได้
โบรกฯ คาดทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น กระทบ “กลุ่มอสังหาฯ” ทั้งบวก-ลบ “บล.กสิกรไทย” ชี้ 3 ปัจจัยกดดัน “การเงิน-วัสดุก่อสร้าง-กำลังซื้อชะลอตัว” แต่เชื่อดีเวลลอปเปอร์มีวิธีบริหารต้นทุนได้ ด้าน “เอกชน” เผยเห็นสัญญาณดีมานด์เร่งตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น เหตุกลัวเจอต้นทุนขึ้น
นายสรพงษ์ จักรธีรังกูร ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ต้องมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแน่นอน เนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อของไทยสูงสุดในรอบ 30 ปี โดยมองว่าปลายปี 2565 คาดอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับ 1-1.25% จากระดับ 0.50% เนื่องจากเงินเฟ้อสูง และคาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะใช้ยาแรงขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุม 14-15 มิ.ย.นี้ ดังนั้น จะกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จำเป็นต้องใช้นโยบายขึ้นดอกเบี้ย
อย่างไรก็ตาม ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นเป็นลบต่อ “กลุ่มอสังหาริมทรัพย์” ในระยะสั้น โดยแบ่งผลกระทบเป็น 1. ต้นทุนการเงิน (ดอกเบี้ย) เนื่องจากบางบริษัทมีการกู้เงิน หรือ การออกหุ้นกู้ต้องเจอดอกเบี้ยสูงขึ้น 2. ต้นทุนค่าก่อสร้างเพิ่ม จากราคาสินค้าวัสดุก่อสร้างขึ้นราคา หลังต้นทุนวัสดุก่อสร้างมีต้นสูงขึ้น จากราคาพลังงานน้ำมันและดอกเบี้ย หรือแม้แต่ต้นทุนค่าแรงงานที่อาจจะปรับเพิ่มได้ และ 3. กำลังซื้ออาจจะชะลอตัว เนื่องจากมีต้นทุนดอกเบี้ยสูงขึ้น
ทั้งนี้ ในแง่บริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) คาดว่าภาพรวมรายได้อาจจะกระทบไม่มาก เนื่องจากมองว่าดีเวลลอปเปอร์จะมีวิธีบริหารจัดการเรื่องต้นทุนได้ แต่ในระยะสั้นต้องกระทบต่อจิตวิทยาของนักลงทุนแน่นอน เพราะว่า ต้นทุนดอกเบี้ยถือเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักของอุตสาหกรรมอสังหาฯ สะท้อนผ่านปกติทุกๆ 1% ของการขึ้นดอกเบี้ย คาดจะกระทบกำลังซื้อประมาณ 6-7% โดยขึ้นอยู่ภายใต้ความสามารถในการซื้อของลูกค้า เช่น เดิมลูกค้าซื้ออสังหาฯ ราคา 10 ล้านบาท อาจจะลดลงมาซื้อในราคา 8 ล้านบาท เป็นต้น
นายสรพงษ์ กล่าวต่อว่า มีมุมลบก็ต้องมีมุมบวก ซึ่งแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยอาจจะเป็นตัวเร่งให้ลูกค้ารีบตันสินใจซื้ออสังหาฯ เร็วขึ้นได้ เนื่องจากไม่อยากมีต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะลูกค้าระดับกลาง-บน ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีการรับรู้และยอมรับแล้วว่าดอกเบี้ยกำลังจะขึ้นก็ตัดสินใจซื้อให้เร็วขึ้นเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม ยังคงคาดการณ์กำไรปี 2565 ของ 12 หุ้นในกลุ่มอสังหาฯ อยู่ที่ 36,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อน เนื่องจากมีปัจจัยบวกเรื่องการเปิดประเทศ ทำให้ท่องเที่ยวฟื้น , คลายล็อกดาวน์ทำให้กำลังซื้อเพิ่มขึ้น
นายชัยวัฒน์ โกวิทจินดาชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BLESS ผู้ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยเพื่อขาย เปิดเผยว่า แม้แนวโน้มดอกเบี้ยจะเป็นขาขึ้น แต่บริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนได้ดี ดังนั้น ดอกเบี้ยขึ้นไม่กระทบต้นทุนบริษัท และมองว่าการที่ กนง. จะปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งต่อไป จะเป็นตัวเร่งให้กลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการซื้ออสังหาฯ อยู่แล้วรีบตัดสินใจซื้ออสังหาฯให้เร็วขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากไม่ต้องการเจอต้นทุนดอกเบี้ยเพิ่ม ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเริ่มเห้นสัญญาณกลุ่มลูกค้าดังกล่าวเข้ามาบ้างแล้ว ส่วนการชะลอการตัดสินใจซื้ออสังหาฯ อาจจะเป็นกลุ่มที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจจะซื้อหรือไม่ซื้อมากกว่า
“เชื่อว่าลูกค้าที่ต้องการซื้ออสังหาฯ อยู่แล้วจะตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น เพราะไม่เจอดอกเบี้ยขึ้นในช่วงไตรมาส 3 หรือ 4 ปีนี้ แต่กลุ่มที่อาจจะชะลอการซื้อจะเป็นกลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะซื้อ”
ด้าน บล.เคทีบีเอสที ( KTBST) เปิดเผยว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอาจเกิดเร็วกว่าคาด หลังจากเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่มีมติเสียงแตกเป็น 4 ต่อ 3 เพราะแนวโน้มของอัตราเงินเฟ้อที่เป็นขาขึ้น ทำให้ตลาดคาดการณ์จะเห็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้เร็วกว่าคาด ดังนั้น ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นเป็นลบต่อ “อสังหาฯ” เนื่องจากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในประเทศ จะส่งผลลบต่อหุ้นโดยรวม เนื่องจากต้นทุนเงินกู้ยืมจะเพิ่มขึ้นตามดอกเบี้ยเงินกู้และรายได้ของบางบริษัทที่ลดลงจากกำลังซื้อที่ลดลง