ลุ้น 22 ต.ค. สมัชชา "พรรคคอมมิวนิสต์จีน" ผ่อน "เที่ยวนอก" หนุนมาไทย 4 ล้านปี 66
22 ต.ค.65 จะมีการประชุมสมัชชาใหญ่ครบรอบ 100 ปีของ “พรรคคอมมิวนิสต์จีน” ภาคท่องเที่ยวไทยต้องจับตาความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของ “ประเทศจีน” ซึ่งเคยส่งออกนักท่องเที่ยวมาไทยปี 62 ก่อนโควิด-19 ระบาด ถึง 11,138,658 คน ทำรายได้ 531,576 ล้านบาท เป็นอันดับ 1 ของต่างชาติเที่ยวไทย
ชูวิทย์ ศิริเวชกุล ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า นอกเหนือจากการจับตาว่า “สี จิ้นผิง” จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของจีนต่ออีกสมัยหรือไม่ หลังครบ 2 สมัย และการแถลงนโยบายขับเคลื่อนประเทศจีนในอีก 100 ปีข้างหน้าแล้ว น่าจะมีการประกาศความชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ว่าจะเดินหน้านโยบาย “โควิดเป็นศูนย์” (Zero Covid) ต่อ หรือผ่อนคลายมากขึ้น
“ตอนนี้มีการดีเบตกันอย่างหนักในประเทศจีนว่าจะดำเนินนโยบายซีโร่โควิดต่อ หรือผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงต้องจับตาอย่างยิ่งว่าในการประชุมใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน วันที่ 22 ต.ค.นี้ ผลจะออกมาเป็นหัวหรือก้อย”
ททท.คาดหวังว่ารัฐบาลจีนจะเริ่มผ่อนคลายมาตรการเดินทางระหว่างประเทศ ให้ชาวจีนออกท่องเที่ยวนอกประเทศได้มากขึ้น! ทำให้เกิดกระแสการเดินทางฟื้นตัวชัดเจนปลายปีนี้เป็นต้นไป โดยเฉพาะเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ไม่รอเที่ยวและจับจ่ายช่วงวันหยุดยาว หรือ โกลเด้นวีค “เทศกาลตรุษจีน 2566” ซึ่งตรงกับปลายเดือน ม.ค.หน้า
จากการสอบถามผู้ประกอบการเอเย่นต์ทัวร์ในจีน 55 ราย จากงาน “ไทยแลนด์ ทราเวล มาร์ท พลัส 2022” (TTM+ 2022) เมื่อ 8-10 มิ.ย. ที่ภูเก็ต ต่างระบุว่า “ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางแรกที่ชาวจีนอยากมาเที่ยวมากที่สุด!” และเท่าที่มีการเปิดขายแพ็คเกจทัวร์ล่วงหน้ามาก็ขายหมดทุกรอบ
ททท.คาดการณ์ว่าหากรัฐบาลจีนประกาศผ่อนคลายให้ชาวจีนออกท่องเที่ยวนอกประเทศได้มากขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4 นี้เป็นต้นไป อาจเริ่มต้นจากโครงการนำร่อง 9 เมืองในประเทศจีน ได้แก่ ต้าเหลียน ปักกิ่ง เฉิงตู หนานจิง เซี่ยงไฮ้ เซียะเหมิน กว่างโจว เซินเจิ้น และฝูโจว ส่วนใหญ่เป็นเมืองทางตอนใต้ของจีน จะทำให้มีนักท่องเที่ยวจีนมาไทยตลอดปี 2565 จำนวนรวมไม่น้อยกว่า 5 แสนคน หนุนแรงส่งถึงปี 2566 ซึ่ง ททท.ตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวจีนมาไทย 4 ล้านคน คิดเป็นการฟื้นตัว 30-40% เมื่อเทียบกับปี 2562
“มั่นใจว่ารัฐบาลจีนน่าจะทยอยเปิดบางพื้นที่ที่มีอัตราการติดเชื้อต่ำก่อน โดยการเปิด 1 มณฑลของจีนซึ่งมีจำนวนประชากรสูงพอๆ กับประเทศไทย ก็สามารถเข้ามาช่วยหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจไทยได้แล้ว”
หลังจากเมื่อกลางเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้เริ่ม “ส่งสัญญาณบวก” ด้วยการ “ลดวันกักตัว” แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางกลับ 9 เมืองนำร่องดังกล่าว จากเดิมเคยกักตัว 21-28 วัน ลดวันกักตัวเหลือ 14 วัน ทำให้นักท่องเที่ยวจากเมืองเหล่านี้เดินทางมาเที่ยวไทยมากขึ้น ขณะเดียวกันมีนักท่องเที่ยวจากบางเมืองที่มีการล็อกดาวน์ เช่น เซี่ยงไฮ้ กลุ่มระดับบนต้องการเดินทางมาไทยอย่างมาก เพื่อหลีกหนีจากความเครียด ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนประกาศผ่อนคลายเพิ่มอีก 2 เมือง ได้แก่ หูเป่ย และเจียงซู ให้ลดวันกักตัวเหลือ 14 วันเช่นกัน
แม้ที่ผ่านมารัฐบาลจีนจะไม่ได้ห้ามไม่ให้มีการเดินทางระหว่างประเทศ แต่ก็ไม่ได้ส่งเสริม คุมเข้มด้วยนโยบาย “ซีโร่ โควิด” และนโยบาย “5 ต่อ 1” (Five-One) กดจำนวนเที่ยวบินภายใต้ข้อกำหนด 1 สายการบิน สามารถทำการบินได้ 1 สัปดาห์ / 1 เที่ยวบิน / 1 เมือง / 1 ประเทศ เท่านั้น
พร้อมขอความร่วมมือจากประชาชนจีนว่าถ้าไม่จำเป็น อย่าเดินทางออกนอกประเทศ เพราะมองว่าเสี่ยงต่อการนำเชื้อ “โควิด-19” เข้ามาแพร่ต่อเมื่อเดินทางกลับประเทศ ถือเป็นความเสี่ยงต่อ “ความมั่นคงของชาติ” ส่งผลให้ “ราคาตั๋วเครื่องบินขาเข้าจีน” แพงมาก!! พุ่งเป็น 40,000-60,000 หยวน หรือประมาณ 2-3 แสนบาทต่อเที่ยว เนื่องจากมีดีมานด์สูง สวนทางกับจำนวนเที่ยวบินที่ยังมีน้อยมากๆ ต่างจากราคาตั๋วเครื่องบินขาออกจากจีน ขายที่ราคา 2,000 หยวน หรือประมาณ 10,000 บาทต่อเที่ยว
นอกจากนี้ยังมีบทลงโทษแก่สายการบิน ในกรณีตรวจพบภายหลังว่าผู้โดยสารของสายการบินนั้นๆ ติดเชื้อเมื่อเดินทางกลับถึงประเทศจีน จะลงโทษไม่ให้ทำการบิน 2 สัปดาห์ และเมื่อพ้นการลงโทษแล้ว จากที่เคยทำการบินภายใต้ข้อกำหนด 5 ต่อ 1 จะอนุญาตให้ทำการบินได้เพียง 1-2 เที่ยวบินต่อเดือนเท่านั้น
แต่จากสถิติในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-พ.ค.2565) มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยรวม 36,246 คน ส่วนใหญ่เป็น “นักธุรกิจ” กว่า 70% เมื่อเดินทางเข้ามาทำธุรกิจในไทยแล้ว ก็อยู่เที่ยวต่อให้คุ้ม อยู่ยาวเป็นเวลานาน 2-3 เดือน ใช้จ่ายเฉลี่ยคนละ 6,000 บาทต่อวัน หรือไม่น้อยกว่า 360,000 บาทต่อทริป โดยหลายคนซื้อบัตร “อีลิทการ์ด” ที่เอื้อต่อการเดินทางมาลงทุน ทำงาน และพาครอบครัวมาพำนักในไทยด้วย
ขณะเดียวกัน ททท.ยังได้ทำงานร่วมกับหอการค้าในแต่ละมณฑล และธนาคารของไทยที่มีสาขาในประเทศจีน จัดสัมมนานำเสนอโอกาสการลงทุนและข้อมูลการเดินทางมาไทยด้วย ส่วนอีกกลุ่มที่เจาะได้สำเร็จคือ “นักเรียน นักศึกษา” ซึ่งถือเป็น 2 กลุ่มที่รัฐบาลจีนอำนวยความสะดวกให้เดินทางออกนอกประเทศได้
“ประเทศจีนไม่ได้ปิดสนิท ททท.จึงต้องแกะเพื่อหากลุ่มที่สามารถเดินทางออกมาได้ ภายใต้กำแพงเมืองจีนที่ปิดหนาทึบ ก็เจอแสงสว่างจนได้”
โดยเส้นทางการเดินทาง นอกเหนือจากเที่ยวบินตรงจากจีนที่ยังมีข้อจำกัด พบว่านักท่องเที่ยวจีนบางส่วนเดินทางโดยเรือจากเซินเจิ้น ข้ามมาขึ้นเครื่องบินที่ฮ่องกง บางส่วนเดินทางโดยรถจากกว่างโจว ข้ามสะพานจูไห่ มาขึ้นเครื่องบินที่ฮ่องกง ใช้บริการสายการบินคาเธ่ย์แปซิฟิค มาขอวีซ่าหน้าด่าน (Visa on Arrival : VoA) เมื่อเดินทางมาถึงไทย โดย ททท.ได้ทำงานร่วมกับสายการบินคาเธ่ย์ฯ รับนักท่องเที่ยวจีนจากเซี่ยงไฮ้ บิน 2 ชั่วโมงมาแวะพักเครื่องที่ฮ่องกง 1 ชั่วโมง แล้วบินต่อมาที่ไทย โดยไม่ต้องลงจากเครื่องบิน
ล่าสุด รายงานข่าวจากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ระบุว่า ขณะนี้รัฐบาลจีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการเดินทางระหว่างประเทศ เปิดให้กลุ่มนักธุรกิจ นักเรียนและนักศึกษาสามารถเดินทางมาประเทศไทย โดยทางสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศจีน (CAAC) ได้แจ้งเรื่องดังกล่าวมายัง กพท.ให้โควต้าสายการบินสัญชาติไทย สามารถเปิดทำการบินระหว่างไทย-จีนได้ 2 เที่ยวบินต่อสัปดาห์
ทั้งนี้ สายการบินสามารถทำการบินได้ทุกเมืองที่เคยทำการบิน ยกเว้นปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ เบื้องต้นมีสายการบินขอทำการบินมายัง กพท.แล้ว ประกอบด้วย การบินไทย, ไทยสมายล์, ไทยไลอ้อนแอร์ และไทยแอร์เอเชีย จะเปิดทำการบินไปยังเมืองกว่างโจว
โดยการบินไทยจะเริ่มทำการบินวันที่ 18 มิ.ย.นี้ ขณะที่สายการบินไทยเวียตเจ็ท มีแผนทำการบินไปยังเมืองคุนหมิง ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว ส่วนสายการบินนกแอร์ แจ้งขอทำการบินไปยังเมืองหนานหนิง