KKP ชี้เงินเฟ้อสูง และอยู่ยาวคาด 6.6% ในปี 65
KKP Research คาดเงินเฟ้อมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นยาวนานกว่าที่คาด ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยไทยกำลังเปลี่ยนทิศทางเป็นขาขึ้น คาดการณ์เงินเฟ้อเป็น 6.6% ในปี 2022 และ 3.1% ในปี 2023
เงินเฟ้อที่คาดไม่ถึง
ในเดือนพฤษภาคม ตัวเลขเงินเฟ้อในไทยพุ่งสูงขึ้นไปถึง 7.1% เป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ 14 ปี และสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ค่อนข้างมากคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ช่วงก่อนหน้าในสหรัฐอเมริกาที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเป็นปัญหาชั่วคราว และจบลงในช่วงกลางปี 2021 แต่กลับยังยืดเยื้อมาถึงปัจจุบัน
KKP Research ประเมินว่าแม้ปัจจัยกดดันเงินเฟ้อที่เกิดจากการเปิดเมืองอาจจะเริ่มคลี่คลาย แต่มีโอกาสที่เงินเฟ้อโลก และไทยจะยังคงอยู่ในระดับสูง และยังไม่ชะลอตัวลงจาก 3 เหตุผล คือ
1) นโยบายการเงินตอบสนองต่อเงินเฟ้อช้า ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงกับตัวเลขเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกาสูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงวิกฤติ 1970-1980 สะท้อนว่านโยบายการเงินยังคงผ่อนคลาย และเป็นตัวเร่งอุปสงค์ให้ยังเติบโตร้อนแรง
2) การส่งผ่านของเงินเฟ้อไปยังสินค้าต่างๆ ยังมีอย่างต่อเนื่อง ในสถานการณ์ปัจจุบันยังมีราคาสินค้าที่เตรียมปรับขึ้นอยู่อีก ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา ราคาบ้านปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก จากปัญหาต้นทุน และการข้อจำกัดด้านอุปทาน และราคาบ้านที่เพิ่มขึ้นอาจจะทำให้ค่าเช่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และส่งผลให้ให้เงินเฟ้อสหรัฐ ค้างอยู่ในระดับสูงในปี 2023
3) ปัจจัยความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งส่งผลต่อราคาน้ำมัน และอาหาร และความเสี่ยงด้านการคาดการณ์เงินเฟ้อ แรงกดดันด้านเงินเฟ้อโลกที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายลง ทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อในประเทศจะยังมีมาก และนโยบายการเงินทั่วโลก จะมีทิศทางตึงตัวชัดเจนขึ้นจะกดดันให้ กนง. เริ่มปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งต่อไป โดยคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 3 ครั้งในปีนี้ และปรับขึ้นอีก 4 ครั้งในปี 2023
โลกเปลี่ยน ดันเงินเฟ้อสูงยาวหลายปี
ปัญหาเงินเฟ้อไม่ได้น่ากังวลแค่ในระยะสั้นแต่อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างระยะยาวครอบคลุมถึงทศวรรษหน้า จากกระแสโลกที่กำลังเปลี่ยนทิศทางอย่างถาวร คือ
1) การเข้าสู่จุดสูงสุดของยุคโลกาภิวัตน์ การเข้าร่วมการค้าโลกของจีนส่งผลให้ต้นทุนการผลิตทั่วโลกถูกลง อย่างไรก็ตามค่าจ้างแรงงานในจีนที่สูงขึ้นพร้อมกับภาวะเริ่มขาดแรงงาน ตัวเลขการค้าระหว่างประเทศที่โตต่ำ สัญญาณความขัดแย้งระหว่างประเทศทั้งจีนและสหรัฐ และรัสเซีย และยูเครน การย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ เป็นสัญญาณสะท้อนจุดสูงสุดของโลกาภิวัตน์
2) อำนาจตลาดที่มีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง บริษัทในสหรัฐมีแนวโน้มครองอำนาจตลาดเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในระยะยาว เช่น ธุรกิจ E-commerce และ 3) สังคมสูงวัยในระดับโลกอาจเพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ แม้ว่าผู้สูงอายุจะบริโภคสินค้าน้อยกว่าคนวัยหนุ่มสาว แต่ปัจจัยสำคัญอีกทางหนึ่งคือ สัดส่วนระหว่างคนสูงอายุเทียบกับประชากรวัยทำงาน กำลังเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง บ่งบอกว่าแรงงานและกำลังการผลิตกำลังลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนผู้บริโภค
เฟ้อเพิ่มความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย
KKP Research ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกในช่วงนี้มีความเสี่ยงกำลังจะเข้าสู่ภาวะ Stagflation ก่อนที่จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในช่วงปลายปี 2023 ถึงปี 2024โดยสถิติในอดีตสะท้อนให้เห็นว่า เมื่อธนาคารกลางสหรัฐ ปรับดอกเบี้ยขึ้นเพื่อสู่กับภาวะเงินเฟ้อ จะนำเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยเกือบทุกครั้ง
และสัญญาณจากตลาดการเงินที่ต้องจับตาดู คือ Inverted Yield Curve ซึ่งมักจะเกิดขึ้นก่อนภาวะเศรษฐกิจถดถอยประมาณ 1 ปี แม้ในปัจจุบันตลาดการเงินยังหวังว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะ Soft-landing หรือภาวะที่ไม่เกิดเศรษฐกิจถดถอย แต่KKP Research มองว่ามีโอกาสน้อยลงไปเรื่อยๆ ในภาวะที่ความเสี่ยงเงินเฟ้อกำลังรุนแรงขึ้น
มาตรการช้าเกินไป
ในช่วงที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทย ยังแสดงความกังวลกับตัวเลขเงินเฟ้อน้อยมาก เมื่อย้อนดูเหตุกาณ์เงินเฟ้อในสหรัฐ ซึ่งตัวเลขเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นไปก่อนไทย ทำให้เกิดความกังวลว่าสถานการณ์ในประเทศไทย จะเกิดขึ้นในลักษณะเดียวกันกับในสหรัฐ ที่คาดการณ์เงินเฟ้อผิดพลาด
โดยการคาดการณ์เงินเฟ้อของไทยมีความเสี่ยงที่จะต่ำเกินไป จากทั้งผลกระทบต่อเนื่องจากราคาน้ำมันต่อราคาสินค้าอื่นๆ ที่ยังมีต่อเนื่อง มาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐที่ลดลง และค่าเงินบาทที่เริ่มปรับตัวอ่อนค่าลงซึ่งจะส่งผลต่อราคาสินค้านำเข้าKKP Research ได้ปรับการคาดการณ์ตัวเลขเงินเฟ้อของไทยเป็น 6.6% ในปี 2022 และ 3.1% ในปี 2023 และคาดการณ์ว่าแรงกดดันในปัจจุบันจะทำให้ ธปท. ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 3 ครั้งในปี 2022 และขึ้นอีก 4 ครั้งในปี 2023 อย่างไรก็ตามการปล่อยให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงเป็นเวลานาน จะทำให้การควบคุมเงินเฟ้อทำได้ยากขึ้นและ ธปท. อาจต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าเดิม
ความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย
นอกจากปัญหาเงินเฟ้อที่นำไปสู่ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงหรือเข้าสู่ภาวะถดถอย จะทำให้เศรษฐกิจไทยเสี่ยงได้รับผลกระทบอย่างมากผ่านช่องทางการส่งออก และภาคการท่องเที่ยวแล้ว การปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นในปี 2022 และ 2023 อาจส่งผลกระทบเพิ่มเติม และเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก เพราะไทยเป็นประเทศเศรษฐกิจเปิดขนาดเล็กที่ได้รับการส่งผ่านราคา และแรงกดดันที่มาจากภาวะเงินเฟ้อโลก และราคาน้ำมัน
แนวโน้มเงินเฟ้อโลกที่เปลี่ยนไปในระยะยาว และทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นจะส่งผลให้ภาระหนี้ของภาคครัวเรือนไทยปรับตัวสูงขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงกับเศรษฐกิจในประเทศได้ สถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทยที่สูงเกินกว่า 90% ของ GDP สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะมีความเปราะบางต่อการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นมากด้วย
พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์ ศิลาวงษ์