'แซม แบงแมน-ฟรายด์' ระดมทุน 900 ล้านดอลล์ ช่วย BlockFi-Voyager

'แซม แบงแมน-ฟรายด์' ระดมทุน 900 ล้านดอลล์ ช่วย BlockFi-Voyager

'แซม แบงแมน-ฟรายด์' ระดมทุน 900 ล้านดอลล์ เพื่อให้สินเชื่อ BlockFi 250 ล้านดอลลาร์ และจัดหาเงินทุนให้ Voyager 500 ดอลลาร์ เพื่อช่วยระบบนิเวศน์คริปโท ชี้ ไม่มีกฎหมายรอบรับ-กองทุนไร้ที่พึ่งจากรัฐ

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า เนื่องจากไม่มีธนาคารกลางและรัฐบาลใดช่วยเหลือบริษัทคริปโทที่กำลังขาดสภาพคล่องจากราคาตลาดคริปโทที่ปรับลดลง ทำให้บริษัทเหล่านั้น ต้องหันไปขอความช่วนเหลือจากแหล่งเงินทุนแห่งอื่น

‘แซม แบงแมน-ฟรายด์’ ผู้บริหารและผู้ก่อตั้งศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล FTX ประกาศผ่านแอคเคาท์ส่วนตัวที่มีชื่อว่า  @SBF_FTX เกี่ยวกับการลงนามในข้อตกลงเพื่อช่วยเหลือบริษัท  Voyager Digital โบรกเกอร์คริปโท และ BlockFi ซึ่งบริการด้านการเงินแบบ Digital Asset

โดยให้วงเงินสินเชื่อหมุนเวียน 250 ล้านดอลลาร์ แก่ BlockFi "นำทางตลาดจากจุดแข็ง" ทั้งนี้นายแบงแมน-ฟรายด์ยังระบุว่า  “เราทำหน้าที่ของเราอย่างจริงจังในการปกป้องระบบนิเวศของสินทรัพย์ดิจิทัลและลูกค้า” 

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจากการที่ BlockFi เลิกจ้างพนักงาน 20% ในต้นเดือนมิ.ย. 2565 พร้อมกับกำลังเจรจาเพื่อระดมทุนในข้อตกลงมูลค่าบริษัทที่ 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งลดลงจากปีที่แล้วที่มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 3 พันล้านดอลลาร์

แซค ปรินซ์ ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ BlockFi กล่าวว่าข้อตกลงกับ FTX เป็นมากกว่าแค่การปล่อยสินเชื่อ ที่สามารถปลดล็อกความร่วมมือและนวัตกรรมในอนาคตระหว่างสองบริษัทอีกด้วย

ทั้งนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Voyager Digital กล่าวว่า Alameda Research ซึ่งเป็น บริษัทวิจัยเชิงปริมาณของนายแบงแมน-ฟรายด์ จะจัดหาเงินทุนจำนวน 500 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือบริษัท

ข้อตกลงดังกล่าวประกอบด้วยวงเงินสินเชื่อเงินสด 200 ล้านดอลลาร์และเหรียญสเตเบิลคอยน์ USDC พร้อมกับวงเงินหมุนเวียน 15,000 บิตคอยน์ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 300 ล้านดอลลาร์ ณ ราคาปัจจุบัน

มูลค่าของสกุลเงินดิจิทัลที่ลดลงในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาส่งผลให้ผู้เล่นหลักจำนวนมากในพื้นที่ประสบปัญหาทางการเงิน

บิตคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ กำลังตกต่ำอย่างหนักในขณะที่เศรษฐกิจกำลังต่อสู้กับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ และการล่มสลายของ terraUSD ที่ทำลายมูลค่าตลาดถึง 60 พันล้านดอลลาร์

รวมทั้งในสัปดาห์ที่แล้ว เซลเซียสผู้ให้กู้คริปโทได้ประกาศระงับการถอนบัญชีทั้งหมด โดยกล่าวโทษ “สภาวะตลาดที่รุนแรง” ทำให้การลงทุนด้วยการนำเงินทุนของลูกค้าไปซื้อขายแลกเปลี่ยนท่ามกลางราคาของสกุลเงินดิจิทัลในตลาดลดลงทำให้บริษัทขาดสภาพคล่อง

โดยผลกระทบนี้ส่งผลเป็นวงกว้าง พร้อมกับกองทุน Three Arrows Capital หรือ 3AC ถูกบังคับให้เลิกกิจการ จากการลงทุนที่มีมูลค่ามหาศาล ตามรายงานของ Financial Times

โดย Voyager ได้ออกมาเปิดเผยความเสียหายจาก 3AC ทำให้บริษัทกำลังจะขาดทุน 650 ล้านดอลลาร์ จากการปล่อยสินเชื่อให้กับ 3AC ซึ่งบริษัท 3AC ยังไม่ได้ชำระหนี้ที่กู้ยืม 15,250 บิตคอยน์ มีมูลค่ามากกว่า 300 ล้านดอลลาร์ ณ วันพุธ และ สเตเบิลคอยน์ USDC มีมูลค่า 350 ล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ 3AC ร้องขอการชำระหนี้คืน โดยเริ่มต้น 25 ล้านดอลลาร์ใน USDC ภายในวันที่ 24 มิถุนายน และชำระคืนเต็มจำนวนสำหรับยอดคงเหลือทั้งหมดของ USDC และ บิตคอยน์ภายในวันที่ 27 มิถุนายน แต่ Voyagerเผยว่า 3AC  ยังไม่ได้ชำระส่วนใดทั้งสิ้น

Voyager มีความต้องการในการทวงเงินจากการ 3AC และกำลังเจรจากับที่ปรึกษาของบริษัทเกี่ยวกับการเยียวยาทางกฎหมาย และบริษัทไม่สามารถประเมินได้ในขณะนี้ว่าจะสามารถเรียกเงินจาก 3AC ได้เท่าใด

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้หุ้นของ Voyager ปรับตัวลดลงถึง 60% ในวันพุธ

Zhu Su ผู้ร่วมก่อตั้งของ 3AC กล่าวก่อนหน้านี้ว่าบริษัทของเขากำลังพิจารณาการขายทรัพย์สินและรับการช่วยเหลือจากบริษัทอื่นเพื่อไม่ให้ 3AC ล้มละลาย

นายแบงแมน-ฟรายด์ เป็นหนึ่งในคนที่ร่ำรวยที่สุดในตลาดคริปโทโดยมีมูลค่าสุทธิประมาณ 20.5 พันล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลของ Forbes และบริษัท FTX มีมูลค่า 32 พันล้านดอลลาร์เมื่อต้นปี 2565

เด็กอายุ 30 ปีได้กลายเป็นผู้กอบกู้ตลาดคริปโท ด้วยเงินมูลค่า 900 พันล้านดอลลาร์ ในขณะที่ตลาดเผชิญกับวิกฤตสภาพคล่องที่ทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งเขาระบุว่า “เป็นความรับผิดชอบที่จะต้องพิจารณาอย่างจริงจัง ในการช่วยเหลือตลาดคริปโท เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบเป็นวงกล้าง แม้ว่าจะทำให้ขาดทุนก็ตาม”

อย่างไรก็ตาม การกระทำของนายแบงแมน-ฟรายด์ เน้นว่าการขาดกฎระเบียบสำหรับอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล ทำให้บริษัทต่างๆ ไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางได้ เมื่อสภาพตลาดตกต่ำ