ส่องปัจจัย ทำ 'ตลาดคริปโท' ปิดแท่งแดง 'บิตคอยน์' ต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา "ตลาดคริปโท" ปิดแท่งแดงพร้อมๆกับสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก "บิตคอยน์" ต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่ทวีความรุนแรง ทำให้เฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย ธนาคารคริปโทจ่อล่ม-การทำธุรกรรมหยุดชะงัก กดดันตลาด ทำนักลงทุนขาดความเชื่อมั่น
เมื่อสงครามความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ รัสเซีย-ยูเครน ส่งผลกระทบมายังเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้เกือบทุกประเทศต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องในตลอดปี 2565 สู่ความปั่นป่วนของการเงินทั่วโลก
รวมทั้งสินทรัพย์เสี่ยงต่างปรับตัวลดลง ทั้งในตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ตลาดพันธบัตร ทำค่าเงินหลายประเทศร่วงต่ำสุดในรอบนับ 10 ปี อัตราแลกเปลี่ยน และสินทรัพย์ทางเลือก น้ำมัน ทองคำ และสินทรัพย์ดิจิทัล 'บิตคอยน์' เหรียญที่มีมูลค่าตลาดเป็นอันดับ 1 ลงมาอยู่ที่แนวรับ 20,000 ดอลลาร์ ต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี
เงินเฟ้อและการปรับขึ้นดอกเบี้ย ไม่ใช่ปัจจัยเสี่ยงเดียวที่กดดันตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ ตลาดคริปโทเคอรร์เรนซี่
เริ่มต้นจากเหตุการณ์ใหญ่ที่สะเทือนวงการ จากการล่มสลายของ Luna และ UST ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนสั่นคลอน เนื่องจากเหรียญ Luna และ UST เป็นเหรียญสเตเบิลคอยน์ที่ได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก สะท้อนจากมูลค่าตลาด ที่มากถึงหลักพันล้านดอลลาร์ และเป็นที่นิยมจนติด 1 ใน 10 เหรียญ บนดัชนีเว็บไซต์คอยน์มาร์เก็ทแคป แต่ต้องจบตัวลง
ถัดมาคือ stETH เหรียญคริปโทของแพลตฟอร์มชื่อดังอย่าง Lido ที่มีราคาผูกกับ Ethereum (ETH) หลุด Peg ทำให้นักลงทุนที่นำ ETH ไป Staking ไว้ไม่สามารถตรึงราคาได้ จนทำให้เหรียญ stETH หลุด Peg จาก ETH ไปในที่สุด ทำให้ราคาของ ETH ร่วงหนัก รวมถึงกองทุนรายใหญ่อย่าง Alameda เทขาย stETH จำนวนกว่า 50,000 ETH ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลและเกิดการ Panic sell ครั้งใหญ่
ธนาคารแห่งโลกคริปโท ส่อแววล่ม
Celsius Network ธนาคารแห่งโลกคริปโทที่บริการให้กู้ยิมสินทรัพย์ดิจิทัล เกิดปัญหาขาดสภาพคล่องจากการ Panic Sell ของ stETH นั้น ส่งผลกระทบมายังหนึ่งในธนาคารแห่งโลกคริปโท เมื่อไม่สามารถทำกำไรจากการเล่นแร่แปรธาตุในหลาย ๆ เหรียญที่มีราคาปรับลดลงพร้อม ๆ กัน ทำให้เกิดปัญหาขาดสภาพคล่อง และต้องปิดการถอนเงินของนักลงทุนชั่วคราว ซึ่งปัญหาดังกล่าวทำให้นักลงทุนตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก ถึงความไม่มั่นคงในตลาดคริปโท
ด้าน Three Arrows Capital หรือ 3AC กองทุนยักษ์ใหญ่ 1 ใน 5 ของโลก ได้รับผลกระทบตั้งแต่เหตุการณ์ Luna แตกและ stETH ที่ร่วงอย่างหนัก ทำให้นักลงทุนสถาบันแต่ละแห่งที่ได้รับความเดือดร้อนค่อย ๆ เผยปัญหาออกมาทีละแห่ง รวมทั้ง 3AC หาเงินมาจ่ายเงินที่กู้มาไม่ทัน ส่งผลให้พอร์ตที่ลงทุนไว้โดน Liquidate เสียหายยับเยิน ซึ่งหลักฐานการทำธุรกรรมเห็นถึงการที่ 3AC ยังนำเงินบางส่วนของนักลงทุนไปกู้เพิ่มด้วย
ถึงคราว Blockfi ถูกเรียกเช็คบิล เนื่องจากนำเงินของนักลงทุนที่ฝากในบิตคอยน์และอีเธอเรียม ไปปล่อยกู้ให้ 3AC ต่ออีกทอด ซึ่งแน่นอนว่า 3AC อาจจะไม่มีเงินคืน จึงสามารถคาดการณ์ได้ว่าอีกไม่นาน Blockfi กำลังจะขาดสภาพคล่อง
สถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในตลาดคริปโท เช่น การลงทุนจากนักลงทุนสถาบัน หรือนักลงทุนรายใหญ่ การหยุดชะงักของระบบ ล้วนส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังอนาคตที่เกิดขึ้นได้ด้วย เห็นได้ชัดคือ ความเชื่อมั่นจากนักลงทุนบางส่วนในตลาดคริปโทลดน้อยลง
รวมทั้งแพลตฟอร์มเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลหลายแห่ง เริ่มปลดพนักงาน จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ต้องระมัดระวังเรื่องการใช้เงินมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังพอมีเรื่องดีอยู่บ้าง หลังบิตคอยน์มีราคาปรับลงมาที่แนวรับ 20,000 ดอลลาร์ ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีในการเข้าลงทุน หากอิงตามทฤษฎี 'Having Bitcoin' ในช่วงตลาดขาลง ที่ราคาปรับลดลงกว่า 50% จากจุดสูงสุดในปี 2564 ซึ่งเป็นปีทองรอบล่าสุดของบิตคอยน์ พร้อมกับนักวิเคราะห์หลายคนสังเกตุเห็นการเข้าลงทุนในตลาดของนักลงทุน และสถาบันการเงินในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล