Healthcare sector การดำเนินงานไม่กระทบจากเศรษฐกิจ, แต่กังวลโควิด
การดำเนินงานของรพ. จะได้ผลกระทบน้อยที่สุดจากเศรษฐกิจอ่อนแอ เพราะได้อนิสงค์จากอุปสงค์จากการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ซึ่งได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันปรับขึ้นก้าวกระโดด (ผู้ป่วยชาวตะวันออกกลางมั่งคั่งมากขึ้น)
และ/หรือค่าเงินบาทอ่อนค่า และรพ.สามารถส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้น(เงินเฟ้อ)ให้ผู้ป่วยได้ ในระยะสั้นอาจมีความกังวล Omicron สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 เพิ่มจำนวนมากขึ้น ดร.ยง ภู่วรวรรณ (นักไวรัสวิทยา) คาดว่าจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่จะเพิ่มขึ้นสูงสุดในเดือนก.ค.-ก.ย. นักลงทุนอาจจะหันไปสนใจหุ้น BCH และ CHG มากขึ้นในระยะสั้น แต่เรายังคงหุ้นเด่นเป็น BH และ BDMS
การดำเนินงานไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจอ่อนแอ
เราคาดว่ามีโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะถดถอยและประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัวในประเทศพัฒนาแล้ว แต่การดำเนินงานของรพ.จะได้อนิสงค์จากการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้รพ.ยังสามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้น (เฟ้อที่สูงขึ้น) ไปยังผู้ป่วยได้ จากข้อมูลในอดีตรายได้รพ.จะมีความสัมพันธ์กับเงินเฟ้อสูงถึง 78%
การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์เพิ่มขึ้น
เราคาดผู้ป่วยต่างชาติจะเดินทางเข้ามารับการรักษามากขึ้น ผลจากการเปิดประเทศและยกเลิก Thailand pass มีผลตังแต่ 1 ก.ค. จะช่วยปลดล็อคอุปสงค์คงค้างของผู้ป่วยต่างชาติ โดยเฉพาะผู้ป่วยจากตะวันออกกลาง ซึ่งได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นก้าวกระโดด และเงินบาทอ่อนค่า นอกจากนี้ ผู้ป่วยซาอุฯ จะมากขึ้นหลังรัฐบาลไทยอนุญาตฟรีวีซ่า 30 วัน และรัฐบาลซาอุฯ เพิ่มโควตาการเดินทางของชาวซาอุฯ เข้าประเทศไทยจาก 30,000 คนเป็น 100,000-150,000 คนต่อปี BH และ BDMS ได้ประโยชน์มากที่สุดจากมาตรการนี้
ความกังวลสายพันธุ์ย่อย Omicron BA.4 และ BA.5 สูงขึ้น
สองสายพันธุ์นี้แพร่ระบาดได้ง่าย, สามารถหลีกเลี่ยงภูมิคุ้มกัน, มีการอักเสบที่ปอดของผู้ป่วย และมีแนวโน้มจะมีอาการมากกว่า Omicron สายพันธุ์เดิม ดร.ยง
ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่จะเพิ่มขึ้นสูงสุดในก.ค.-ก.ย. และจะลดลงในต.ค.-ธ.ค. อาจทำให้มีการเก็งกำไรระยะสั้นในหุ้น BCH และ CHG ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ของโควิดสูงในปีที่ผ่านมา แต่ปีนี้อาจจะแตกต่างเนื่องจากรัฐบาลได้ปรับลดงบค่ารักษาโควิด
หุ้นเด่นของกลุ่ม – BDMS และ BH
BDMS และ BH ยังเป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม จากแนวโน้มการเติบโตของกำไรเป็นขาขึ้น เราประมาณการ +15% และ +39% ต่อปี (3 ปี CAGR) ตามลำดับ จากการกลับมาของอุปสงค์ผู้ป่วยโรคไม่เร่งด่วนของผู้ป่วยไทยและผู้ป่วยต่างชาติ