"คริปโทเคอร์เรนซี" ดาบแสนคม เปิดมุมมองปัจจุบัน และในอนาคต
ส่องแนวโน้ม "คริปโทเคอร์เรนซี" (Cryptocurrency) ในปัจจุบัน และอีกหลายปีข้างหน้า จะเป็น "ดาบแสนคม" ที่เราทุกคนไม่ควร "ประมาท"
Sasin center Excellene ได้เผยแพร่บทความ "คริปโทเคอร์เรนซี: ดาบแสนคม" เขียนโดย ผศ.ดร.ชนวีร์ สุภัทรเกียรติ, ผศ.ดร.ปิยะชาติ ภิรมย์สวัสดิ์ และ ผศ.ดร.ภัทเรกศรโชติ โดยมีเนื้อหาดังนี้
คริปโทเคอเรนซี (Cryptocurrency) เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ใช้เทคโนโลยี “บล็อกเชน” (Blockchain Technology) ในการ “บันทึก” ข้อมูลธุรกรรม (Transaction Data) ทั้งหมดที่เกิดขึ้น โดยเทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นเทคโนโลยีที่ปฏิวัติการบันทึกข้อมูลแบบเดิมๆ จากการอาศัย “คนกลางที่มีความน่าเชื่อถือ” ในการบันทึกข้อมูลแต่ละชุดข้อมูลอย่างเป็นอิสระต่อกัน สู่การบันทึกข้อมูลรูปแบบใหม่ที่ไม่ต้องอาศัยคนกลางแบบเดิมๆ ที่อาจจะ “ไว้ใจไม่ได้” แต่อาศัยตัวกลางที่เป็นระบบเครือข่าย (Network System) ที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์จากผู้คนทั่วทั้งโลกในการบันทึกข้อมูล โดยทุกชุดข้อมูลจะถูกสร้างความสัมพันธ์ให้เชื่อมโยงกัน (โดยการสร้างลายเซ็นดิจิทัล) เสมือนการสร้าง “ห่วงโซ่” ที่ผูกทุกชุดข้อมูลเอาไว้อย่างแน่นหนาเพื่อทำให้ชุดข้อมูลเหล่านี้กลายเป็นชุดข้อมูลที่ “แข็งแกร่ง” ที่ทุกคนในโลกเชื่อถือได้อย่างสมบูรณ์
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) และเทคโนโลยีบล็อกเชนได้กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนทั่วทั้งโลกให้ความสนใจ และกำลังหาทางในการประยุกต์ใช้เพื่อสร้างมูลค่าให้กับตนเอง องค์กร และสังคม อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีทุกเทคโนโลยีก็มีทั้งข้อดี และข้อเสีย เปรียบเสมือนมีดหรือดาบที่สามารถใช้ในการตัดสิ่งของต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถบาดมือ และสร้างบาดแผลให้กับผู้ใช้ที่ไม่ระมัดระวังได้ ดังเช่นในคำสุภาษิตไทยคำว่า “ดาบสองคม”
แต่สำหรับคริปโทเคอร์เรนซีนั้น ผู้เขียนคิดว่าคำว่า “ดาบสองคม” น่าจะยังไม่เหมาะสม และไม่เพียงพอที่จะสะท้อนถึงลักษณะของข้อดี และข้อเสียที่แท้จริงของคริปโทเคอร์เรนซีได้ ดังนั้นผู้เขียนจึงขอเสนอการใช้คำว่า “ดาบแสนคม” ในการเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของคริปโทเคอร์เรนซี
โดยผู้เขียนต้องการที่จะสื่อให้เห็นว่าคริปโทเคอร์เรนซีนั้น ถึงแม้จะมีประโยชน์ในด้านต่างๆ อยู่หลายด้าน แต่ถ้าถูกใช้อย่างไม่ระมัดระวังหรือไม่ถูกต้อง ก็สามารถสร้างผลเสียอย่างรุนแรงในรูปแบบที่หลายคนอาจจะไม่ได้ตระหนักมาก่อน เปรียบเสมือนดาบที่มีความ “คมกริบ” ที่ผู้ใช้จะต้องเป็นผู้ที่มีความชำนาญอย่างแท้จริงเท่านั้นถึงจะควรใช้ดาบเล่มนี้
- ประโยชน์ “จริงๆ” ของคริปโทเคอร์เรนซีในปัจจุบัน และอนาคต
มีบทความมากมายที่กล่าวถึงคริปโทเคอร์เรนซีโดยเฉพาะในด้านประโยชน์ของคริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งประโยชน์ของคริปโทเคอร์เรนซีที่ถูกพูดถึงค่อนข้างมากได้แก่ ความปลอดภัยในการทำธุรกรรมที่เพิ่มมากขึ้นเนื่องจากอาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชนที่มีความปลอดภัยสูง ความสะดวกรวดเร็วในการทำธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากสามารถใช้คอมพิวเตอร์ทำโดยอัตโนมัติได้ วันละ 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ และค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมต่างๆ ที่จะถูกลงเนื่องจากไม่ต้องทำผ่านสถาบันทางการเงินที่อาจจะคิดค่าธรรมเนียมในอัตราที่สูง (เพราะสถาบันทางการเงินเองก็มีค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ต้องจ่ายอยู่มาก เช่น เงินเดือนพนักงาน และค่าเช่าสำนักงาน) ทำให้คนจำนวนหนึ่งที่ไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้เนื่องจากค่าธรรมเนียมมีอัตราสูงสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น
นอกจากนี้ประโยชน์อีกประการหนึ่งที่ทำให้คนจำนวนมาก “ต้องเล่นคริปโทฯ” คือ โอกาสในการได้รับผลตอบแทนในการลงทุนในระดับสูงเพราะเชื่อว่าคริปโทเคอร์เรนซีคือ สกุลเงินแห่งอนาคตที่อาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชนซึ่งเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคตเช่นกัน
แต่ถ้าหากพิจารณาดูให้ดี ประโยชน์ที่กล่าวข้างต้นไม่ใช่ประโยชน์ “จริงๆ” ของคริปโทเคอร์เรนซีโดยเฉพาะประโยชน์ในปัจจุบัน (และอีกหลายปีในอนาคต) ที่คนๆ หนึ่ง หรือองค์กรหนึ่งๆ ควรหันมาใช้หรือถือครองคริปโทเคอร์เรนซี เพราะในปัจจุบันธุรกรรมทางการเงินที่ทำผ่านสถาบันทางการเงินก็มีความปลอดภัยในระดับที่สูงมาก แถมยังต้องได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานตรวจสอบของภาครัฐ ในทางกลับกันธุรกรรมทางการเงินที่ใช้คริปโทเคอร์เรนซีนั้นแทบจะตรวจสอบไม่ได้เลย
ซึ่งในอดีตก็เคยเกิดเหตุการณ์ที่สร้างความเสียหายให้กับผู้ใช้คริปโทเคอร์เรนซี เช่น เหตุการณ์การโจรกรรมคริปโทเคอร์เรนซีครั้งใหญ่ที่เคยเกิดขึ้นกับ Mt. Gox ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีที่เคยมีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก นอกจากนี้ความสะดวกรวดเร็วในการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านสถาบันทางการเงินที่ใช้ระบบ Mobile Banking ก็มีความสะดวกรวดเร็วในระดับที่สูงมาก ซึ่งค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมหลายประเภทนั้นแทบจะไม่มีค่าธรรมเนียมอยู่แล้ว เช่น การโอนเงินระหว่างบุคคล หรือการจ่ายค่าสินค้า และบริการต่างๆ ผ่าน QR Code หรือ ระบบ Online Payment
ส่วนประโยชน์ในด้านการลงทุนนั้น คริปโทเคอร์เรนซีไม่ใช่เครื่องมือสำหรับการ “รวยทางลัด” หรือ “รวยเร็ว” จากการได้รับผลตอบแทนในระดับสูง เพราะผลตอบแทนของคริปโทเคอร์เรนซีมีความผันผวนสูงมาก และไม่มีอะไรมายืนยันหรือรองรับว่าราคาของคริปโทเคอร์เรนซีในแต่ละตัวนั้นจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ตลอดไป อันที่จริงประโยชน์ในด้านการลงทุนของคริปโทเคอร์เรนซีที่พอจะมีความน่าเชื่อถืออยู่บ้างคือ ประโยชน์ในด้านการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน
โดยมีงานวิจัยชั้นนำหลายชิ้นพบว่าคริปโทเคอร์เรนซีสามารถช่วยป้องกันหรือลดความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนได้ เช่น งานวิจัยของ Akhtaruzzaman และคณะ (2020) ที่ศึกษาข้อมูลของประเทศสหรัฐอเมริการะหว่างปี 2011 ถึง 2018 และพบว่า Bitcoin สามารถป้องกันหรือลดความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนที่ลงทุนในภาคอุตสาหกรรม และดัชนีหุ้นกู้ได้เพราะราคาของ Bitcoin ไม่มีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับสินทรัพย์อื่นอย่างสมบูรณ์ งานวิจัยของ Urquhart และ Zhang (2019) พบว่า Bitcoin สามารถช่วยป้องกัน (Hedge) และช่วยกระจายความเสี่ยง (Diversify) ในการซื้อขายระหว่างวันในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน
นอกจากนี้ Bouri และคณะ (2020) ยังพบอีกว่านอกจาก Bitcoin แล้วยังมี Ethereum และ Litecoin ที่มีคุณลักษณะของการป้องกันความเสี่ยงสำหรับการลงทุนในหุ้นสามัญในตลาดเอเซีย แปซิฟิก และญี่ปุ่นได้ อย่างไรก็ดี Goodell และ Goutte (2021) กลับพบว่า Tether ซึ่งเป็นหนึ่งใน Stable Coin ตัวหลักของโลกมีคุณลักษณะในการเป็น Safe Haven (สินทรัพย์ที่ราคาไม่มีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับสินทรัพย์อื่นในพอร์ตการลงทุน) ได้ดีในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงเช่นในช่วงการระบาดของ Covid-19
ในขณะที่ Bitcoin ไม่มีคุณลักษณะในการเป็น Safe Haven เพราะราคามีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันกับสินทรัพย์หลักตัวอื่นๆ เช่น หุ้นสามัญเป็นต้น ดังนั้นแม้ว่าคริปโทเคอร์เรนซีมีแนวโน้มที่จะมีประโยชน์ในด้านการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน แต่เนื่องจากคริปโทเคอร์เรนซีเป็นนวัตกรรมทางการเงินชนิดใหม่มากๆ ที่ยังต้องมีการศึกษาวิจัยอีกมาก แถมข้อมูลที่ใช้วิเคราะห์มีระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น ดังนั้นจึงยังมีอีกหลายอย่างที่เราทุกคนควรตระหนักว่า “เรายังไม่รู้” อีกมากเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซี
- อันตราย “จริงๆ” ของคริปโทเคอร์เรนซีในปัจจุบันและในอนาคต
สิ่งที่อันตรายที่สุดของคริปโทเคอร์เรนซีคือ การที่คนจำนวนมากเข้ามา “เล่นคริปโทฯ” หรือ “เล่นดาบแสนคม” เล่มนี้ทั้งๆ ที่ยังไม่มีความชำนาญอย่างแท้จริง ซึ่งคล้ายๆ กับการที่เราเห็นเด็กคนหนึ่งเอาของมีคมมาเล่นกับเพื่อน ซึ่งคงเป็นภาพที่คิดแล้วน่าจะสร้างความกังวลให้กับทุกๆ คนอย่างไม่น้อย ในปัจจุบันคนจำนวนมากซื้อคริปโทเคอร์เรนซีเพื่อการลงทุน
โดยหวังว่าราคาของคริปโทเคอร์เรนซีจะมีมูลค่าสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ในอนาคต อย่างไรก็ตามมูลค่าของเหรียญจะสูงขึ้นได้จะมีเพียงกรณีเดียวก็คือ มีคนที่มีความต้องการซื้อ และถือเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีมากขึ้น เนื่องจากเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีนั้นไม่มีความสามารถในการสร้างผลตอบแทน เช่น เงินปันผล และไม่สามารถนำไปบริโภคหรือใช้ทำประโยชน์อื่นๆ ได้ การลงทุนในเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีเป็นการคาดการณ์ว่าจะมีเงินใหม่ไหลเข้ามาในตลาดเพื่อสร้างผลตอบแทนให้เงินเก่า และเนื่องจากจำนวนคนที่สนใจซื้อเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีมีจำกัด
ในที่สุดแล้วราคาเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีก็จะไม่สามารถขึ้นต่อไปได้ตลอดเวลา และอาจจะถึงจุดอิ่มตัวเมื่อไหร่ก็ได้ นอกจากนี้ราคาของเหรียญคริปโทเคอร์เรนซียังมีความผันผวนมากกว่าการลงทุนในรูปแบบอื่นที่นักลงทุนนิยมเช่น การลงทุนในหุ้นค่อนข้างมาก และที่สำคัญงานวิจัยของ Phiromswad และคณะ (2021) ยังตรวจพบวันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง (Jump) ในราคาของเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีที่มากกว่า 27 ใน 123 วันที่ทำการศึกษาซึ่งเป็นปริมาณที่ค่อนข้างสูงอันตราย
อีกประการหนึ่งของคริปโทเคอร์เรนซีคือ การที่หลายคนคิดไปเองว่าตนสามารถเก็งกำไรในการชื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีได้ และหวังว่าวิธีนี้จะเป็นวิธี “รวยทางลัด” โดยงานวิจัยชิ้นหนึ่งของ Delfabbro และคณะ (2021) ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร “Journal of behavioral addictions” ซึ่งเป็นวารสารชั้นนำของโลกในด้านพฤติกรรมเสพติดได้กล่าวถึงพฤติกรรมของผู้ที่ซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีในเชิงจิตวิทยาว่ามีปัจจัยเสี่ยงหลายปัจจัยที่เหมือนกับการพนันออนไลน์ (Online Gambling) หรือนักเก็งกำไรรายวัน (Day Trader)
เช่น การคิดไปเองว่าตนสามารถควบคุมผลลัพธ์ (Illusion of Control) ของการชื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีได้ ซึ่งคนเรามักจะคิดเข้าข้างตัวเองไปว่าตอนที่สามารถทำกำไรได้จากการพนัน การเก็งกำไรรายวัน หรือการชื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีนั้นเป็นผลมาจากความสามารถในกลยุทธ์ของตนเอง แต่ในขณะที่ขาดทุนกลับไม่โทษกลยุทธ์นั้น และกลับคิดไปเองว่าปัจจัยภายนอกเป็นสาเหตุที่ทำให้ขาดทุน
อีกประเด็นที่สำคัญคือ ผู้ที่ถือเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีอยู่แล้วจะมีแนวโน้มที่อยากจะชักชวนให้ผู้อื่นเข้ามาถือเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีมากขึ้น ทั้งในแบบบริสุทธิ์ใจที่อยากแบ่งปันสิ่งที่ตนคิดว่าดีให้กับผู้อื่น หรือทั้งแบบไม่บริสุทธิ์ใจที่อยากให้คนอื่นเข้ามาซื้อเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีมากขึ้นเพื่อให้ราคาเหรียญที่ตนถืออยู่มีมูลค่าสูงขึ้น โดยใช้สื่อต่างๆ โดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) เป็นเครื่องมือในการสร้างกระแสความนิยมของคริปโทเคอร์เรนซีที่สามารถกระจายข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและเป็นวงกว้าง
ซึ่งสิ่งนี้สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ถูกเรียกว่า “ความกลัวตกกระแส (แต่ไม่กลัวเจ็บ)” (Fear of Missing Out: FOMO) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เวลาคนเราเห็นคนอื่นมีความสุข มีความสนุก หรือกำลังได้รับประโยชน์อะไรบางอย่าง เช่น ถูกรางวัลลอตเตอรี่ ชนะพนัน ได้กำไรจากการเก็งกำไรรายวัน หรือได้กำไรจากการชื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี ก็อยากที่จะได้รับความสุข ความสนุก หรือประโยชน์อย่างที่คนอื่นๆ เขาได้กันบ้าง และมีแนวโน้มที่จะเข้าร่วมกิจกรรมเหล่านี้มากขึ้นเป็นอย่างมาก ซึ่งคนส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดจะต้องเจ็บตัวจากการเข้าร่วมกิจกรรมนี้
การลงทุนในเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีเป็นการใช้เงินใหม่เพื่อสร้างผลตอบแทนให้เงินเก่า ประกอบกับการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซียังไม่มีการกำกับควบคุมดังเช่นการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าอาจจะมีกลุ่ม “เงินเก่า” ระดับใหญ่ ที่บางคนเรียกว่า “เจ้ามือ” หรือ “วาฬ” ที่เป็นกลุ่มคนที่ถือเหรียญบางเหรียญไว้เป็นจำนวนมาก มีความตั้งใจที่จะสร้างกระแสและโฆษณา หรือ “ปั่น” เพื่อดึง “เงินใหม่” จากนักลงทุนรายเล็กที่มักจะถูกเรียกว่า “แมงเม่า” ให้มีความต้องการซื้อเหรียญนั้นๆ เพิ่มมากขึ้นและดันราคาเหรียญให้มีราคาสูงขึ้น แต่เนื่องจากเงินใหม่หรือจำนวนคนที่มีความต้องการเหรียญมีจำกัด
สุดท้ายแล้วราคาเหรียญก็จะไม่สามารถขึ้นต่อไปได้ ถึงจุดอิ่มตัว ซึ่งเจ้ามือก็จะเทขายทำกำไร ได้รับผลกำไรอันสวยงาม ในขณะที่นักลงทุนรายเล็กทั้งหลาย ต่างก็ต้องรับการขาดทุน ดังเช่นการ “หนีตาย” ที่เกิดขึ้นกับเหรียญ Luna ไม่นานมานี้ที่เหรียญมีมูลค่าลดลงถึง 99% ในสองวัน ดังนั้นผู้ที่ซื้อคริปโทเคอร์เรนซีเพื่อการลงทุนจะต้องพึงระวังเอาไว้มากๆ ว่า เมื่อถึงจุดอิ่มตัวที่ไม่มีผู้ซื้อใหม่หรือเงินก้อนใหม่เข้ามาซื้ออีก มูลค่าของเหรียญจะหยุด และไม่ขึ้นสูงได้อีก
- อนาคตของคริปโทเคอร์เรนซี
ของมีคมทุกชนิดต่างๆ ก็มีทั้งประโยชน์และโทษ ยิ่งคมมากก็ยิ่งต้องมีความระมัดระวังในการใช้อย่างมาก เช่นเดียวกันกับคริปโทเคอร์เรนซีที่สามารถมองได้ว่าเป็น “ดาบแสนคม” ที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจำเป็นจะต้องเข้ามากำกับดูแลเพื่อให้สังคมส่วนรวมได้รับประโยชน์มากกว่าโทษจากนวัตกรรมทางการเงินชนิดนี้ อย่างเช่น การกำกับดูแลการโฆษณาสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเหมาะสมเพื่อให้ประชาชนทุกคนทราบทั้งประโยชน์และโทษของนวัตกรรมนี้อย่างรอบด้าน การโฆษณาที่อาจจะกระทบกับกลุ่มเปราะบางเช่น เด็กและเยาวชน การเร่งให้ความรู้แก่ประชาชนถึงข้อควรระวังต่างๆ
โดยเฉพาะความผันผวนของราคาคริปโทเคอร์เรนซี การบริหารความเสี่ยงทางการเงินส่วนบุคคลไม่ให้ใช้เงินทั้งหมดที่มีหรือกู้ยืมเงินมาเล่นคริปโทเคอร์เรนซีจนหมด การประชาสัมพันธ์ข่าวด้านลบของผู้ที่หมดตัวจากคริปโทเคอร์เรนซีให้กว้างขวางเพื่อไม่ให้ผู้บริโภคเสพแต่ข่าวดีเพียงด้านเดียว การบังคับให้ผู้ลงทุนทำแบบประเมินความเสี่ยงก่อนการลงทุนในเหรียญคริปโทฯ
การควบคุมดูแลโฆษณาที่ขัดแย้งกับหลักการที่กล่าวข้างต้นโดยเฉพาะโฆษณาที่สื่อว่าการมีความรู้ ความชำนาญ และความเข้าใจในความเสี่ยงของคริปโทเคอร์เรนซีเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น การกำกับดูแลธุรกรรมต่างๆ ของคริปโทเคอร์เรนซีที่สามารถสร้างผลเสียมากกว่าผลดีต่อสังคม เช่น การหลอกลวง การโจรกรรมทางดิจิทัล การจงใจ “ปั่นราคา” หรือแม้แต่ผลกระทบในเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมจากคริปโทเคอร์เรนซี เพราะเราทุกคนไม่ควร “ประมาท” ถ้าไม่อยากถูกบาดด้วย “ดาบแสนคม”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์