“4กูรู” กระสานเสียงไตรมาส 3/65 ดัชนีเสี่ยงต่ำสุดปีนี้
“4 กูรู” ประสานเสียงไตรมาส 3/65 ดัชนีเสี่ยงต่ำสุดของปี เหตุเงินเฟ้อสูง-ดอกเบี้ยขาขึ้น เชื่อฟื้นตัวปลายปีนี้ “บล.หยวนต้า” ชูธีมเปิดเมืองรับอานิสงส์นักท่องเที่ยวโต “บล.กสิกรไทย” แนะหุ้นเปิดเมืองสู้เงินเฟ้อ-ปันผลสูง ขณะที่ “บล.พาย” คัดหุ้นขนาดใหญ่งบเติบโต
“กรุงเทพธุรกิจ” จัดงานสัมมนาส่องหุ้นไทย 2022 : ขับเคลื่อนธุรกิจรับอนาคต ในช่วงเบญจภาคี 5 หุ้นเด็ด “รับดอกเบี้ยขาขึ้น สู้เงินเฟ้อ” ได้นักวิเคราะห์ระดับแถวหน้าของประเทศไทยมาให้มุมมองทิศทางตลาดหุ้นไทยไตรมาส 3 ปี 2565
นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ ประธานสายธุรกิจรายย่อย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในช่วงปลายเดือนส.ค.และ ก.ย. 2565 จะเป็นตัวบ่งชี้ของตลาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นหรือลดลง แต่คาดปรับตัวขึ้นในกรอบ 1,550-1,650 จุด และช่วงต้นเดือนก.ย จะขึ้นมาอยู่ที่ 1,550-1,650 จุด
“คาดไตรมาส 3 การผ่อนคลายมาตรการโควิด ทำให้การท่องเที่ยวฟื้นตัวและภาคการส่งออกดีกว่าคาด ทั้งนี้การเข้าซื้อจากนักลงทุนต่างประเทศที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น มีแรงดึงดูดหลักจากภาคพลังงาน ภาคการเงิน และภาคการท่องเที่ยว แต่หากตัวเลขเศรษฐกิจออกมาไม่ดีอย่างที่คาดการณ์ไว้ดัชนีหุ้นมีโอกาสร่วงทันที”
โดยมองกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีอยู่ที่ 1,550-1,650 จุด ซึ่งในช่วง 3 เดือนนี้ (ก.ค.-ก.ย.) นักลงทุนอย่าพยายามเล่นหุ้นแล้วแช่ไว้ อย่าเล่นหุ้นแล้วไม่ติดตามข่าวรายวัน เนื่องจากปัจจุบันมีการเปลี่ยนวิธีการลงทุนเร็วมากไปตามข่าวที่เกิดขึ้น และมองว่าราคาสินค้าคอมมูนิตี้ไม่น่าสูงมากกว่าไปกว่านี้แล้ว ซึ่งราคาน้ำมันน่าจะปรับตัวขึ้นไปสูงเท่าไฮเดิมที่เคยทำไว้
อย่างไรก็ตาม มองไปยังตลาดหุ้นจีนที่ราคาบ้านกลับมาทำราคาใกล้เคียงในช่วงก่อนโควิด-19 และมาตรการโควิดภายในประเทศมีการปรับเปลี่ยน ซึ่งอาจเสริมให้ประชาชนซื้อบ้าน ทำให้ระดับราคาหุ้นวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างเพิ่มขึ้น พร้อมกับเลือกหุ้นที่มีความเกี่ยวข้องกับประเทศจีน รวมทั้งหุ้นเปิดเมือง
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำ 5 หุ้นเด็ด คือ 1.กองทุนจีน 2. บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) ให้ราคาเป้าหมาย 40 บาท โดยมองว่าเป็นหุ้นในกลุ่มเปิดเมือง หากนักท่องเที่ยวกับมาจะส่งผลดี 3.บริษัท ซีพี ออลล์ (CPALL) ให้ราคาเป้าหมาย 73 บาท อยู่ในกลุ่มค้าปลีกที่จะเป็นผู้นำ และอนาคตมีโอกาสขยายธุรกิจไปได้เยอะ
4. บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ (M) ราคาเป้าหมาย 65 บาท อยู่ในกลุ่มอาหาร และเป็นบริษัทที่มีกระเงินสดสามารถซื้อกิจการได้ และ 5. บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ให้ราคาเป้าหมาย 252 บาท
นายภาสกร ลิมมณีโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า มองว่าช่วงไตรมาส 3 ปี 65 (เดือนก.ค.-ก.ย.) เป็นดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาต่ำสุดเนื่องจากเป็นช่วงที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (บจ.) น่าจะเห็นต้นทุนที่สูงขึ้นในไตรมาส 2/65 และไตรมาส 3/65 ซึ่งมองว่าเป็นช่วงที่ตลาดทำกำลังย่อยข่าวร้าย ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดรับรู้ข่าวลบทั้งเงินเฟ้อสูงขึ้น และทิศทางดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น โดยคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นน่าจะปรับตัวลงมาทำจุดโลว์สุดที่ 1,550 จุด
“สภาวะที่ยากจะเป็นช่วงปลายไตรมาส 2/65 ถึงต้นไตรมาส 3/65 ซึ่งตลาดกำลังหาจุดลงตัว ที่สำคัญๆ คือ เงินเฟ้อจะพีคสุดที่เท่าไหร่และเมื่อไหร่ ถ้าเจอแล้วก็จะรู้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ยที่เท่าไหร่ ตลาดก็จะสามารถประเมินได้แล้วว่าจะต้องปรับพอร์ตกันอย่างไร”
สำหรับ “5 หุ้นเด็ด” ที่เลือกลงทุนสู้ในช่วงเงินเฟ้อสูง ด้วย 4 ปัจจัย คือ 1.เงินปันผล 2. บริษัทมีโครงสร้างรายได้ที่สู้เงินเฟ้อได้ 3. มีผลดำเนินงานเติบโตทั้งรายได้-กำไร และ 4. ราคาหุ้นไม่แพง โดยแบ่งเป็น 3 ธีมลงทุน คือ ธีมเปิดเมือง-ธีมสู้เงินเฟ้อได้-ธีมจ่ายเงินปันผล
คือ 1. บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ให้ราคาเป้าหมาย 10.20 บาท โดยมองว่าอัตราการทำกำไรจะเติบโตขึ้นมาก 2. บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล (BCH) ให้ราคาเป้าหมาย 24 บาท คาดเปิดเมืองจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามา
3.บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) ให้ราคาเป้าหมาย 39.50 บาท สาขาเดิมจะมียอดขายเติบโต 4. ธนาคารกรุงไทย (KTB) ให้ราคาเป้าหมาย 15.50 บาท และ 5.ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKB) ให้ราคาเป้าหมาย 87 บาท
นายกวี ชูกิจเกษม นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) พาย จำกัด (มหาชน) หรือ Pi กล่าวว่า มีโอกาสที่หุ้นไทยได้ในระยะข้างหน้ามีโอกาสได้รับผลกระทบ เพราะรอบนี้เศรษฐกิจโลกแย่ เพราะหากดูประวัติศาสตร์การขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ 14 ครั้งพบว่าเจอกับภาวะถดถอย 11 ครั้ง ขณะที่ปริมาณหนี้ 250-260% ต่อจีดีพีทำให้การเติบโตเป็นไปได้ยากขึ้น
ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลที่น่าคิด ว่า สหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือไม่ แม้วันนี้จะยังเห็นราคาบ้านขยับเพิ่มขึ้น จากดีมานด์ซื้อบ้านที่เพิ่มขึ้น ก่อนที่ดอกเบี้ยจะสูงกว่านี้ แต่หากดูตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวเริ่มลดลง โดยเฉพาะการใช้สินค้าไม่คงทน ที่กำลังซื้อลดลง เช่นเดียวกับสภาพคล่องของโลกที่กำลังถูกดึงออก จากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจถดถอย เห็นได้ชัด ที่เงินถูกดึงจากตลาดคริปโทฯ เช่นเดียวกับหุ้นที่สภาพคล่องลดลง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐแย่ แต่คงไม่มีผลกระทบต่อไทยมาก เหมือนอดีต เพราะปัจจุบันยังไม่ได้ฟื้นตัวมากหากเทียบกับระดับก่อนโควิด ต่างกับประเทศอื่นๆ ดังนั้นแม้สภาพคล่องจากตลาดหุ้นลดลง แต่คนไทยยังมีสภาพคล่องมาก เงินฝากในระบบยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่บริษัทเอกชนแข็งแกร่ง
ดังนั้น แม้ว่าจะมีโอกาสที่จะเห็นดัชนีดาวน์โจน ปรับลดลงหลุด 30,000 จุด แต่มองว่าดัชนีหุ้นไทย จะไม่ลงแรง แม้จะลงไปสู่ 1,400 จุด จาก 1,800 จุด ซึ่งลงเพียง 400 จุดถือว่าต่ำกว่า ช่วงโควิด ที่ลงไป 900 จุด ซึ่งใช้เวลาเพียง 3 เดือน ดังนั้นรอบนี้ไม่น่าห่วง เพราะสถานะของไทยแข็งแกร่ง แม้เศรษฐกิจโตไม่มาก แต่อยู่ในทิศทางฟื้นตัว และมองว่าเศรษฐกิจจีนจะเป็นเสาหลักที่ดีให้กับเอเชีย ดังนั้นมองว่า หากตลาดลงไปที่ 1,400 จุดจริงๆ ก็เป็นโอกาสที่ดีในการกลับเข้าซื้อหุ้นอีกรอบ
สำหรับ ธีมการลงทุน มองว่าต้องเป็นหุ้น defensive ที่เหมาะ เพราะดาวน์โจนส์รอบนี้คาดจะลงแรงมาก ดังนั้น ต้องหาจังหวะในการซื้อหุ้นใหญ่ เช่น ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เพราะธุรกิจธนาคารอบนี้แข็งแกร่ง ปันผลดี ปันผลสูง 6-7% ขณะที่ KBANK พึ่งประกาศตั้ง AMC ดังนั้น ฐานะแบงก์จะดีขึ้นเรื่อยๆในการจัดการหนี้เสีย และสำรองลดลงได้ โดยให้ราคาพื้นฐานที่ 174 บาท
ถัดมา บริษัท ซีพี ออลล์ (CPALL) เพราะราคาไม่แพงมาก แม้มีหนี้เยอะ จากการซื้อกิจการ และอยู่ในกลุ่มค้าปลีกที่จะเป็นผู้นำ และอนาคตมีโอกาสขยายธุรกิจไปได้เยอะ โดยให้ราคาที่ 72 บาท และบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ (BAFS) ที่จะได้ผลบวกจากการเติมน้ำมันเครื่องบินที่เพิ่มขึ้น โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 34 บาท ถัดมา บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ (M) หุ้นปันผลดี หุ้นรับผลบวกจากการเปิดเมือง ให้ราคาที่ 64 บาท และสุดทาย บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) โดยให้ราคาที่ 9.5 บาท จากคนที่หันมาโดยสารรถไฟฟ้ามากขึ้น จากน้ำมันแพง
นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุน สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ กล่าว่า หากดูสถิติไตรมาส 3 ในอดีต ไม่ใช่ไตรมาส ที่มีผลตอบแทนที่ดีในการลงทุนผ่านตลาดหุ้น โดยไตรมาส 3 หุ้นที่ outperform ส่วนใหญ่เป็นหุ้นใหญ่มากกว่าหุ้นเล็ก และหุ้น Defensive จะดีกว่าหุ้นวัฏจักร เพราะคนวิ่งไปหาอะไรที่ผันผวนต่ำ
สำหรับภาพปีนี้ความเสี่ยงเงินเฟ้อมากขึ้น ภายใต้การขึ้นดอกเบี้ยของหลายประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจกำลังชะลอตัว ดังนั้นไตรมาส 3ปีนี้ ผลตอบแทนอาจไม่ได้สูงนัก แต่ไตรมาส 4 ผลตอบแทนจะดีที่สุดของปี และคาดว่าหุ้นที่ดีจะเป็นหุ้นวัฏจักร
แต่อย่างไรก็ตาม การลงทุนในไตรมาส 3/65 อยากให้ระมัดระวังการลงทุน และต้องใช้จังหวะในช่วงปรับฐานในการสสะสมหุ้น เพื่อที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีในไตรมาส 4 จากภาพเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัว น่าจะหนุนให้ผลตอบแทนของตลาดปรับตัวดีขึ้นได้
สำหรับมุมมองดัชนีหุ้นไทย ให้กรอบที่ 1,550-1,750 จุด หากขึ้นไปสู่ 1,700 จุดให้เตรียม Take Profit ขณะที่ขาลง มองว่า อาจมีไซส์เวย์มากกว่า 1,550 จุด เพราะการขึ้นดอกเบี้ย 0.50% จะทำให้ตลาดลง50จุด ดังนั้นตลาดอาจลงไปที่ 1,500 จุด โดยมองว่า กรอบที่ 1,500 หรือต่ำกว่า คือจังหวะที่ทยอยสะสมหุ้นได้
ส่วนกลยุทธ์การลงทุน มี 4 ธีมหลัก ธีมแรกคือ กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากซัพพลายเชนคลี่คลาย สอง กลุ่ม reopening ถัดมาคือหุ้นที่มีคุณภาพดี เพราะควอลิตี้สำคัญมาก หากมีผลประกอบการมั่นคงเติบโตดีในครึ่งปีหลัง เวลาลงจะน้อยกว่าตลาด และเวลาขึ้นจะดีกว่าตลาด สุดท้ายคือหุ้นที่ มี valuation ต้องไม่แพง เพราะตลาดผันผวนแบบนี้ คนไม่ให้พรีเมี่ยมมากนัก ดังนั้นหุ้นที่แพง อาจเป็นหุ้นที่มีความเสี่ยง
สำหรับตัวที่แนะนำลงทุนธนาคารกรุงเทพ( BBL) ที่ 168 บาท จากคุณภาพสินทรัพย์ดี เวลูเอชั่นดี ไพรท์ทูบุ๊ก 0.5% เท่า บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) ข่าวบวกจากท่องเที่ยวกลับมา ทำให้ผลประกอบการคาดโตเกือบ 50% และ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป (CBG) ให้ 133 บาท จากราคาอะลูมีเนียมต่ำลง ทำให้ต้นทุนต่ำลง รายได้ยอดขายจะมีการออกโปรดักต์ใหม่ที่กระตุ้นรายได้
รวมถึงบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) ที่ได้ผลบวกจากวิกฤตอาหาร ที่ทำให้ราคาเนื้อสัตว์แพงขึ้น มาร์จิ้นดีขึ้น ให้ราคาที่ 30 บาท สุดท้ายคือ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) มองผลบวกจากสินทรัพย์ที่ดีขึ้น มาจิ้นจะเริ่มกลับมา และนโยบายการกำหนดเชิงรุกทำให้สินเชื่อโตได้ ขณะที่เวลูเอชั่นเทรดที่ -2%