TU - Lobster เป็นเหตุ (วันที่ 4 กรกฎาคม 2565)
คาดกำไร 2Q22F มีแนวโน้มลดลง 46% yoy เป็นผลจากขาดทุนพิเศษ หากไม่รวมขาดทุนพิเศษ กำไรปกติจะอยู่ที่ 1.56 พันลบ. (-27% yoy, +8% qoq) ขณะที่กำไรปกติ 3Q มีแนวโน้มฟื้นตัวหนุนจาก (1) ผลของฤดูกาล และ (2) ต้นทุนทูน่าที่ลดลง
แต่ยังมีความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นกระทบกำไรสุทธิใน 2H ปรับคำแนะนำลงเป็น ถือ พร้อมปรับลดราคาเป้าหมายเป็น 19.00 บาท (จากเดิม 22.20 บาท)
กำไรสุทธิ 2Q มีแนวโน้มลดลงจากรายการพิเศษ
คาดรายได้ 2Q เพิ่มขึ้น 15% yoy เป็น 4.0 หมื่นลบ. หนุนจากการเติบโตจากธุรกิจอาหารแปรรูป อัตรากำไรขั้นต้น 2Q มีแนวโน้มทรงตัว qoq ที่ 17.5% แต่ส่วนแบ่งกำไรอาจมีผลขาดทุนประมาณ 300 ลบ. เทียบกับขาดทุน 177 ลบ. ใน 1Q จากผลประกอบการ Red Lobster ที่อ่อนแอ เราคาดกำไรปกติ 2Q ที่ 1.56 พันลบ. (-27% yoy, +8% qoq) และหากรวมรายการพิเศษ 3 รายการ: (1) ขาดทุน 400 ลบ. จากการประเมินมูลค่าหุ้นบุริมสิทธิ USD345m ของ Red Lobster, (2) ขาดทุนจากการปิดโรงงานของ Rugen Fisch ในเยอรมันนีจำนวน 200 ลบ. และ (3) กำไรอัตราแลกเปลี่ยน 300 ลบ., คาดกำไรสุทธิ 2Q ลดลงเป็น 1.26 พันลบ. (-46% yoy, -28% qoq)
ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น
กำไรปกติ 3Q มีแนวโน้มดีขึ้นจาก (1) ผลของฤดูกาล และ (2) ต้นทุนทูน่าที่ลดลง โดยราคาทูน่าลดลงในมิ.ย. เป็นเดือนที่สามติดกันอีก 11% mom เป็น USD1,425/ton อย่างไรก็ตาม มีโอกาสที่จะมีการปรับลดมูลค่าหุ้นบุริมสิทธิ์ของ Red Lobster ใน 3Q และ 4Q เนื่องจากการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของ FED มองมูลค่าเงินปันผล 8% จากหุ้นบุริมสิทธิของ Red Lobster จะลดลงจากต้นทุนส่วนทุน (cost of equity) ที่สูงขึ้นผ่าน risk free rate จึงทำให้บริษัทอาจมีรายการขาดทุน 360 ลบ. และ 230 ลบ. ใน 3Q และ 4Q ตามลำดับ
ปรับลดคำแนะนำเป็น ถือ ราคาเป้าหมายใหม่ 19.00 บาท (จาก 22.20 บาท)
เราปรับคาดการณ์กำไรปี FY22F ลง 18% เป็น 6.7 พันลบ. โดยใช้สมมติฐาน (1) ขาดทุนพิเศษ 1.2 พันลบ. จากการปรับมูลค่า Red Lobster 990 ลบ. และการปิด Rugen Fisch 200 ลบ. และ (2) ปรับ SG&A ต่อยอดขาย จาก 12.2% เป็น 12.3% ปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 19.00 บาท อ้างอิง SoTP และปรับคำแนะนำลงเป็น ถือ จากความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นกระทบกำไร 2H