Quantamental “ซื้อเก็งกำไร” เมื่อตลาดหุ้นมีการพักฐาน

Quantamental “ซื้อเก็งกำไร” เมื่อตลาดหุ้นมีการพักฐาน

การปรับลดลงของดัชนี SET Index ในเดือน มิ.ย.2565 ถือเป็นการปรับลดลงในเดือนเดียวที่ลดลงมากสุดตั้งแต่ เดือน มี.ค. 2563 เป็นต้นมา ในบทวิเคราะห์เดือนก่อน โมเดลของเราชี้ว่า Valuation ของดัชนี SET index ยังคงแพง และมีโอกาสสูงที่ตลาดหุ้นไทยจะผันผวนในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา

ที่ประชุม กนง เริ่มส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี่ยนโยบายใน 2H65 จากผลของ Valuation ที่ยังคงแพงและความเสี่ยงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด-19 ทำให้เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะผันผวนใน 1 - 2 เดือนนี้

 

Value factor: ยังคงแพง แต่เริ่มผ่อนคลายลงบ้างเทียบกับเดือนก่อนๆ

i) Modified yield gap (M-yield gap): M-yield gap เริ่มฟื้นเป็นบวก +0.65 จุด (สะท้อนว่าตลาดหุ้นไทยเริ่มถูกกว่าตลาดพันธบัตรเล็กน้อย) หลังจากที่อยู่ในระดับใกล้เคียงศูนย์ในเดือนก่อน (เป็นกลางระหว่างตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร) แม้ว่าอัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลจะยังทรงตัวสูงในเดือนก่อนแต่ Consensus ทำการปรับประมาณการฯ EPS ของดัชนี SET index ขึ้นเล็กน้อย +1% เป็น 97.6 บาท/หุ้น

ii) Implied equity risk premium (iERP): iERP ฟื้นตัวเป็น 3.49% สูงสุดตั้งแต่เดือน ก.ค. 2564 เป็นต้นมา เป็นผลจากราคาหุ้นที่ปรับลดลงมากในเดือนก่อน อย่างไรก็ดีเรายังไม่แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยขณะนี้ เนื่องจากระดับ iERP ปัจจุบันยังไม่สามารถชดเชยค่าความเสี่ยงของอัตราเงินเฟ้อและการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้เต็มที่ อัตราส่วนระหว่าง iERP/Risk-free rate (พันธบัตรรับฐาลอายุ 10 ปี ) เท่ากับ 1.2 เท่า ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอัตราส่วนดังกล่าวย้อนหลัง 10 ปีที่ 1.6 เท่า

 

 

 

iii) Cyclical adjusted PE (CAPE): CAPE ล่าสุดอยู่ที่ 18.3 เท่า ลดลงจาก 19.5 เท่าในเดือนก่อน และลดลงจากระดับ +20เท่าเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เราประเมินแนวรับแรกของ CAPE จะอยู่ที่ราว 17 - 18 เท่า (ดูรูปที่ 4 จะพบว่าในอดีต เมื่อ CAPE ปรับลดลงแตะระดับ 17 - 18 เท่า จะมีการรีบาวนด์กลับ)  ดังนั้น หากอิง CAPE โมเดล เราเชื่อว่าหากดัชนี SET index มีการพักฐานอีกครั้งจนทำให้ CAPE ลดลงต่ำกว่า 18 เท่าจะเป็นโอกาสของการซื้อเก็งกำไรหวังการรีบาวนด์ของดัชนี นอกจากนี้ค่า Excess CAPE Yield หรือ ECY ของ ตลาดหุ้นไทย - สหรัฐฯ เริ่มกลับสู่สถานะปกติ กล่าวคือค่า ECY ของไทยล่าสุดเท่ากับ 2.9% ขณะที่ ECY สหรัฐฯ เท่ากับ 2.29% ทั้งนี้ค่า ECY คือ การคำนวณหา Risk premium ในอีกรูปแบบหนึ่ง ดังนั้นค่า ECY ของตลาดพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ จึงควรที่จะต่ำกว่าค่า ECY ของไทยที่เป็นตลาดกำลังพัฒนา

Quantamental “ซื้อเก็งกำไร” เมื่อตลาดหุ้นมีการพักฐาน

High volatility: เก็งกำไรหุ้นกลุ่มธนาคาร และธีม Re-opening

จากผลของ Valuation ที่ยังคงแพง และมีความเสี่ยงเรื่องของอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยนโยบายขาขึ้น เราคาดตลาดหุ้นไทยจะผันผวนใน 1 - 2 เดือนนี้ อย่างไรก็ดีตลาดุห้นไทยมีโอกาสที่จะ Outperform ตลาดหุ้นอื่นๆ ได้ จากปัจจัยพื้นฐานของประเทศไทยเอง โดยการเตรียมเปิดประเทศและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในเดือน ก.ค. จะเป็นปัจจัยหนุน นอกจากนี้ Valuation ของตลาดหุ้นไทยแม้จะยังแพง แต่เริ่มผ่อนคลายลงบ้างเมื่อเทียบกับหลายๆเดือนก่อนหน้า ดังนั้นกรณี SET index พักฐานในช่วงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด จะเป็นโอกาสในการ "ซื้อเก็งกำไร" สำหรับตลาดหุ้นไทย เราแนะนำให้นักลงทุนเน้นการ "ซื้อเก็งกำไร" ในหุ้นกลุ่มธนาคาร (ดอกเบี้ยขาขึ้น) และ Re-opening (เปิดประเทศ) สำหรับหุ้นกลุ่มธนาคาร หุ้นที่อยู่ในลิสต์ Top picks จากโมเดลของเราได้แก่ KTB* BBL* TTB* K BANK* ขณะที่หุ้นกลุ่ม Re-opening ได้แก่ CENTEL* BH* MINT*

 

 

 

หุ้นเด่นเดือน มิ.ย.ของเรา 20 ตัว ให้อัตราผลตอบแทนรวมติดลบ -4.4% (Equal weight) และ -1.1% (Market cap weight) ซึ่งยังคงให้อัตราผลตอบแทนที่ Outperform ดัชนี SET index ในด้าน Technical analysis ประเมินแนวรับ 1550 จุด และ 1520 จุด ตามลำดับ / แนวต้าน 1600 จุด และ 1620 จุด ตามลำดับ