NER คาดเติบโตอย่างต่อเนื่องในอีกสองปีข้างหน้า

NER คาดเติบโตอย่างต่อเนื่องในอีกสองปีข้างหน้า

NER เป็นหนึ่งใน 5 ผู้ผลิตยางพาราธรรมชาติรายใหญ่สุดของประเทศไทย โดยรายได้ของบริษัทมาจากผลิตภัณฑ์สี่ชนิด ได้แก่ ยางแผ่นรมควัน (RSS คิดเป็น 22% ของยอดขาย) ยางแท่ง STR 20 (STR20, 45%), ยางผสม (18%) และ ยางแผ่นผสมอัดแท่ง (standard Thai rubber mixture หรือ RSS-CRP คิดเป็น15%)

ทั้งนี้ ลูกค้าของ NER ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ และ trader ในประเทศจีน สิงคโปร์ ฮ่องกง ญี่ปุ่น อินเดีย และประเทศไทย โดยรายได้จาการส่งออกคิดเป็น 38% ของยอดขายในปี 2564

 

สถานการณ์ด้านอุปสงค์และอุปทานของยางพาราเป็นบวก

ราคายาง (RSS3) เพิ่มขึ้น 8% YoY ในเดือนมิถุนายนเนื่องจากอุปสงค์เพิ่มขึ้นหลังจากที่มีการกลับมาเปิดเศรษฐกิจทั่วโลกอีกครั้ง ทั้งนี้ เมื่อเดือนที่แล้ว สมาคมประเทศผู้ผลิตยางพาราธรรมชาติ (Association of Natural Rubber Producing Countries: ANRPC) ปรับเพิ่มประมาณการอุปสงค์ยางพาราธรรมชาติปี 2565F เป็น 14.64 ล้านตัน (+2.2% YoY) จากเดิมที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.2% YoY ในขณะเดียวกัน คาดว่าอุปทานจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้ากว่าอุปสงค์ที่ 1.8% YoY เป็น 14.18 ล้านตัน เนื่องจากอุปทานในประเทศอินโดนีเซียลดลงเพราะการระบาดของโรคใบร่วง เราคาดว่าอุปสงค์จากอุตสาหกรรมยานยนต์ (คิดเป็นประมาณ 60% ของการใช้ยางพาราธรรมชาติ) จะฟื้นตัวขึ้นจากที่มีการกลับมาเปิดเศรษฐกิจทั่วโลกอีกครั้ง ซึ่งจะช่วยเพิ่มอุปสงค์การเปลี่ยนยางรถยนต์ และเมื่อประกอบกับคำสั่งซื้อล่าวหน้าสำหรับการผลิตรถยนต์หลังจากที่ปัญหาขาดแคลน chip กำลังคลี่คลายลงไป น่าจะทำให้อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมยานยนต์เกินพอที่จะชดเชยอุปสงค์ที่ชะลอตัวลงในอุตสาหกรรมถุงมือยาง นอกจากนี้ อุปทานยางใหม่ไม่น่าจะเพิ่มขึ้นในอีก 5-6 ปีข้างหน้าเพราะการปลูกยางใหม่ลดลงไปอยู่ระดับต่ำที่สุดในปี 2563 เพราะขาดเงินทุนสนับสนุน และขาดแคลนแรงงาน (Figure 4)

NER คาดเติบโตอย่างต่อเนื่องในอีกสองปีข้างหน้า

 

 

 

การขยายกำลังการผลิตจะช่วยหนุนให้กำไรโตในปี 2565-2566F

จากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น และการที่บริษัทหาลูกค้ารายใหม่ ๆ ได้ เราจึงคาดว่า NER จะเพิ่มกำลังการผลิต STR อีก 14% เป็น 395,600 ตัน/ปี ภายใน 3Q65 นอกจากนี้ ใน 3Q65 บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจใหม่ แผ่นรองนอนปศุสัตว์ (livestock mat) โดยใช้แบรนด์ของตัวเอง “CattleFlex” ซึ่งคาดว่า CattleFlex จะทำรายได้ประมาณ 290 ล้านบาทในปี 2565F ในขณะที่ NER ยังมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 200% เป็น 9,000 ตัน/ปี ภายในปี 2567

บริษัทคาดว่าผลประกอบการใน 2Q65F น่าจะใกล้เคียงกับใน 1Q65 และคาดว่ากำไรจะแข็งแกร่งขึ้นใน 2H65F ในขณะที่ Consensus คาดว่ากำไรสุทธิของ NER จะอยู่ที่ 2.0 พันล้านบาท (+11% YoY) ในปี 2565F ซึ่งเราเชื่อว่าบริษัทน่าจะทำได้เพราะกำไรสุทธิใน 1Q65 เพิ่มขึ้นถึง 28% เป็น 469 ล้านบาท ในขณะที่กำลังการผลิตใหม่ และธุรกิจใหม่ของบริษัทจะช่วยหนุนการเติบโตใน 2H65F นอกจากนี้ Consensus ยังคาดว่ากำไรสุทธิในปี 2566F จะเพิ่มขึ้น 11% YoY เป็น 2.3 พันล้านบาท ทั้งนี้ ราคาหุ้น NER ปัจจุบันคิดเป็น PER ปี 2565F ที่ต่ำเพียง 5.1x (-0.5 S.D.) ซึ่งต่ำกว่าของหุ้นอื่นในกลุ่มผลิตยางที่
6.0x ในขณะที่คาดว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของ NER จะน่าสนใจที่ 6.2% ในปี 2565F

 

Risk

เศรษฐกิจถดถอย, ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน, สายโซ่อุปทานสะดุด, สภาพภูมิอากาศ