SCM รุกแตกไลน์สู่ ‘ลิสซิ่ง’ ยกลูกค้าเดิมปั้นธุรกิจใหม่

      และนับตั้งแต่เข้ามาในตลาดหุ้น ตัวเลข “กำไรสุทธิ” อยู่ในระดับที่โดดเด่น สะท้อนผ่านปี 2563-ไตรมาส 1 ปี 2565 อยู่ที่ 64.02 ล้านบาท 217.61 ล้านบาท และ 36.17 ล้านบาท ตามลำดับ

        “นพกฤษฏิ์ นิธิเลิศวิจิตร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCM เล่าให้ “กรุงเทพธุรกิจ” ฟังว่า ปัจจุบันบริษัทกำลังสร้างการเติบโตครั้งใหม่! ด้วยการแตกไลน์ธุรกิจสู่ “ธุรกิจลิสซิ่ง”ภายใต้ชื่อ บริษัท จัดให้ ลิสซิ่ง จำกัดโดยดำเนินธุรกิจการให้บริการสินเชื่อประเภทเช่าซื้อ จำนำทะเบียนรถ จำนองที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง เพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นสู่การเป็นบริษัทชั้นนำ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลประกอบการของบริษัท ในระยะยาว พร้อมทั้งยกระดับฐานะการเงินของบริษัทอีกด้วย

      โดยบริษัทคาดว่าจะเห็นธุรกิจลิสซิ่งเริ่มให้บริการภายในไตรมาส 3 ปี 2565 ในปีนี้ ซึ่งวางเป้าปล่อยสินเชื่อประมาณ 100 ล้านบาทมีแผนเจาะฐานลูกค้าสมาชิกของ SCM ก่อน ซึ่งจะสามารถต่อยอดธุรกิจได้มากขึ้น เนื่องจากมองว่า ธุรกิจลิสซิ่ง สามารถรองรับความต้องการของกลุ่มสมาชิก MLM ที่มีอยู่กว่าในปัจจุบัน 1.6 แสนรายได้เป็นอย่างดี

      เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทเล็งเห็นพฤติกรรมของฐานสมาชิกบริษัทที่มีอยู่กว่า1.6 แสนรายที่ยังมีความต้องการเกี่ยวกับยานพาหนะที่ไปใช้บริการกับไฟแนนซ์อื่นๆ จึงประเมินว่า ถ้าหากสร้างบริการ เพื่อรองรับการให้บริการสมาชิกของบริษัท พร้อมกับเมื่อระบบมีความแข็งแรง ก็การขยายฐานสู่ประชาชนอื่นๆ ในวงกว้างอีกด้วย จึงมองน่าจะเป็นโอกาสที่ทำให้ธุรกิจมีการเติบโต ประกอบกับบริษัทมีดาต้าที่รู้พฤติกรรมของสมาชิก จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายสู่ธุรกิจนี้

       “นพกฤษฏิ์” บอกต่อว่าบริษัทยังมีแผนขยายการต่อยอดผ่านธุรกิจเดิมทั้งจากตัว SCM และโรงงานผลิตในเครือ ภายใต้ชื่อ “บริษัท เอสซีเอ็ม อินโนเวทีฟ จำกัด” (SMI) เพื่อเดินหน้าขยายสู่ตลาด OEM รับจ้างผลิตสินค้าอาหารเสริมสุขภาพ และขยายฐานสมาชิกเพิ่มมากขึ้นเป็น 250,000 ราย ภายในปีนี้จากเดิมที่มีฐานสมาชิกอยู่แล้ว 1.6 แสนราย

       สะท้อนผ่านการขับเคลื่อนธุรกิจ 4 กลยุทธ์หลัก คือ1.การยกระดับพลังแบรนด์องค์กร และสินค้าให้สามารถขยายกลุ่มเป้าหมายและสร้างแบรนด์เลิฟเวอร์(Leverage Brand Energy) 2. การขับเคลื่อนด้วยระบบดิจิทัล(Driving Digital)เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงานและเป็นเครื่องมือการขยายตลาด

         3.การสร้าง และผสมผสานระบบ Offline และ Online(Create Online & Offline Breakthrough System) ที่ส่งเสริมซึ่งกันและกันเพื่อให้รองรับและเติมเต็มจุดอ่อนจุดแข็งของทั้ง 2 ระบบและ

         4. การบริหารจัดการประสบการณ์ที่ดีต่อแบรนด์ของลูกค้า(Customer Experience Management) ซึ่งจะเป็นการสร้างโอกาสการเติบโตให้บริษัทอย่างยั่งยืน

        ขณะที่ บริษัทออกผลิตภัณฑ์ทรานส์ฟอร์ม (Transform) ภายใต้แบรนด์ Growing More ผลิตภัณฑ์ที่เข้าใจเกษตรกรที่ต้องเผชิญความไม่แน่นอนในการเพาะปลูกโดยผลิตภัณฑ์ทรานส์ฟอร์ม เป็นธาตุรองเสริมอาหารชนิดเข้มข้นที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช

        เนื่องจากนับตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ต้นทุนปุ๋ยสูงเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนของเกษตรกรเพิ่มมากขึ้น ผลิตภัณฑ์ทรานส์ฟอร์ม (Transform Plus) จากซัคเซสมอร์เป็นทางเลือกที่ฉีกกฎการกินอาหารของพืชอย่างครบ 24 ชั่วโมง สามารถใช้งานได้มากกว่าปุ๋ยเม็ด 10 เท่า ทำให้ผลผลิตงอกเงย คุ้มค่า และยังลดต้นทุนการผลิต

       ขณะที่ผลิตภัณฑ์ทรานส์ฟอร์มคงราคาเท่าเดิม และพร้อมตรึงราคาเดิมให้นานที่สุด ในปีนี้มองสินค้าแบรนด์Growing More เติบโตทำให้บริษัทมีความมั่นใจว่ายอดขายจะเติบโตตรงตามเป้า 50% อย่างแน่นอน ด้วยเสียงตอบรับจากเกษตรกรผู้ใช้จริง และกลุ่มสมาชิกเครือข่ายของซัคเซสมอร์

      ทั้งนี้ปี 2565 วางเป้าจะมีรายได้เติบโต 20% จากปีก่อน พร้อมเดินหน้าขยายฐานสมาชิกเพิ่มรวมทั้งวางเป้าการแอคทีฟของฐานสมาชิกโดยการเพิ่มฐานสมาชิกด้วยการสร้างแบรนด์ให้ขยายวงกว้าง ซึ่งแบรนด์ของบริษัทได้รับการยอมรับทั้งการเป็นแบรนด์แห่งความมั่นคงในอุตสาหกรรม รวมทั้งเป็นธุรกิจที่มีความโปร่งใส หลังจากนั้นก็สร้างความเป็นแบรนด์ที่น่าเข้าร่วม และมีสินค้าที่หลากหลาย และคุณภาพดี เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า รวมทั้ง ยังขยายตลาดในต่างประเทศอีกด้วย

      ท้ายสุด “นพกฤษฏิ์”บอกไว้ว่า กลยุทธ์ในการขับเคลื่อนสู่การเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งจากธุรกิจเดิมและธุรกิจใหม่ จะทำให้ SCM เติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

 

 

พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์  ศิลาวงษ์