"ไทยยูเนี่ยน" เดินหน้านวัตกรรมการเงินต่อเนื่อง จาก Blue Finance สู่ In-House Banking
"ไทยยูเนี่ยน" หรือ TU เดินหน้านวัตกรรมทางการเงินอย่างต่อเนื่อง สร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ จาก "Blue Finance" สู่ "In-House Banking"
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือที่คุ้นเคยกันดีในตลาดหลักทรัพย์ในชื่อ TU เดินหน้านวัตกรรมทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ด้วยศูนย์บริหารและบริการร่วมทางการเงิน หรือ Global Treasury Center ของบริษัท ที่ได้ดำเนินงานด้าน In-House Banking & Automation ในปีนี้ ต่อเนื่องจากปี 2564 ที่ TU ได้เปิดตัว Blue Finance หรือการเงินที่ส่งเสริมความยั่งยืน โดยนำเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่ต้องทำให้สำเร็จเข้ามาเป็นหลักเกณฑ์ประเมินอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ด้วย โดยโมเดล In-House Banking นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การบริหารจัดการสินทรัพย์และหนี้สิน ขั้นตอนและกระบวนการต่างๆ ของกระแสเงินสด และการบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงิน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
Global Treasury Center กับนวัตกรรมทางการเงิน
ยงยุทธ เสฏฐวิวรรธน์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการบริหารการเงินกลุ่มและศูนย์บริการร่วมทางการเงิน บมจ. ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) เปิดเผยถึงโครงการนวัตกรรมทางการเงินอย่างต่อเนื่องครั้งใหม่ของบริษัทฯ ว่า ในฐานะบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอยู่ทั่วโลก ไทยยูเนี่ยน เล็งเห็นถึงความสำคัญของการบริหารและการบริการทางการเงินแบบรวมศูนย์ จึงได้จัดตั้ง Global Treasury Center ในปี 2558 โดยทำงานร่วมกับศูนย์บริหารเงินในเมืองลักเซมเบิร์กที่บริหารงานที่เกี่ยวข้องในทวีปยุโรป และอีกศูนย์หนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองลอสแองเจลีส สำหรับการบริหารงานที่เกี่ยวข้องในสหรัฐอเมริกา
ในการตั้ง Global Treasury Center บริษัทจะต้องได้รับใบอนุญาตต่างๆ ซึ่งไทยยูเนี่ยน ได้ดำเนินตามขั้นตอนต่างๆ จนได้ใบอนุญาตดังนี้
ปี 2558
- ใบอนุญาตประกอบธุรกิจเป็นศูนย์บริหารเงิน (Treasury Center) จากกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย
- ใบอนุญาตจากกรมสรรพากรในการเป็นสำนักงานใหญ่ระหว่างประเทศ (International Headquarter: IHQ)
ปี 2562
- ใบอนุญาตจากกรมสรรพากรในข้างต้น ได้เปลี่ยนเป็นใบอนุญาตในการเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ (International Business Center: IBC)
ทั้งนี้ ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยน ยังได้เริ่มระบบการจัดการสภาพคล่องทางการเงินระหว่างส่วนกลางกับบริษัทในกลุ่มประเทศยุโรป (Global Cash Pooling) โดยมีการบริหารรวบรวมยอดเงินคงเหลือของแต่ละบริษัท เพื่อนำมาบริหารจัดการแบบรวมศูนย์และบริษัทได้ขยายขอบเขตของ Global Cash Pooling ให้ครอบคลุมการจัดการสภาพคล่องทางการเงินระหว่างส่วนกลางกับกลุ่มบริษัทในประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 2560
ยงยุทธ กล่าวต่อไปว่า ในปี 2559 ไทยยูเนี่ยน ได้เริ่มรีไฟแนนซ์เงินกู้ระยะยาวของบริษัทในเครือแถบทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกา โดยใช้แหล่งเงินทุนจาก Global Treasury Center ของบริษัทเอง สำหรับ In-House Banking ของธุรกิจไทยยูเนี่ยนในประเทศไทยนั้น เริ่มในปี 2563 ขณะที่โครงสร้างหรือโมเดลการทำงาน In-House Banking นั้น ได้เริ่มในสำนักงานต่างๆ ของไทยยูเนี่ยนในทวีปยุโรปก่อนแล้ว
เมื่อพูดถึงโมเดลการทำงานของศูนย์บริหารและบริการร่วมทางการเงินของไทยยูเนี่ยนในยุโรป สหรัฐอเมริกา และประเทศไทย มีความแตกต่างกัน คือ
- ศูนย์บริหารเงินระดับภูมิภาคที่สหรัฐอเมริกาและยุโรป : ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการเงินทุน เงินสด และสภาพคล่องทางการเงิน โดยทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางที่จะคอยบริหารรวบรวมยอดเงินคงเหลือของแต่ละบริษัท เพื่อนำมาบริหารจัดการแบบรวมศูนย์ที่ไทยยูเนี่ยนที่ประเทศไทย ในส่วนของการบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงินนั้น ได้มีการวางนโยบายหลักจาก Global Treasury Center แต่มีการดำเนินการตามนโยบายกับธนาคารในระดับแต่ละภูมิภาค
- Global Treasury Center ที่ประเทศไทย : เป็นแหล่งเงินทุนหลักให้กับบริษัทในเครือทั้งหมด ด้วยการบริหารจัดการเงินสดและสภาพคล่องจากศูนย์กลาง ทำให้กิจกรรมต่างๆ ที่ต้องทำกับธนาคารโดยตรงลดปริมาณธุรกรรมลง และสามารถเพิ่มอำนาจการต่อรองได้มากขึ้น พร้อมทั้งกำหนดนโยบายเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงินและตรวจสอบต่างๆ อีกด้วย
Robotic Process Automation (RPA)
ในส่วนของกระบวนการอัตโนมัติทางธุรกิจ (Automation) ไทยยูเนี่ยน เริ่มใช้ Robotic Process Automation (RPA) ในกระบวนการ In-House Banking ของบริษัทสำหรับขั้นตอนและรายงานทางการเงินประเภทต่างๆ ภายในบริษัท ซึ่งนับเป็นนวัตกรรมทางการเงินที่บริษัทได้เริ่มนำมาใช้ในปี 2564 ทำให้บริษัทสามารถรวบรวมข้อมูลทางการเงินประเภทต่างๆ เช่น การเก็บเงิน การจ่ายเงิน และสถานะเงินสด ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นปัจจุบันมากขึ้น เมื่อเทียบกับกระบวนการทำงานแบบเดิมที่ใช้ระยะเวลาในการดำเนินการ 3-7 วัน
นอกจากนี้ RPA ยังช่วยให้ขั้นตอนการทำงานต่างๆ ที่ทำเป็นประจำสะดวก รวดเร็วมากขึ้น เช่น การรับข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง การโอนเงิน การบันทึกการโอนเงินเข้าระบบ การจัดทำรายงานทางการเงิน และการส่งรายงานและข้อมูลทางการเงินไปยังฝ่ายงานที่เกี่ยวข้องได้โดยอัตโนมัติและทันท่วงที
กล่าวโดยสรุปคือ นวัตกรรมทางการเงินที่เกิดขึ้นโดยศูนย์บริหารและบริการร่วมทางการเงินของไทยยูเนี่ยนส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจทั้งในเรื่องต้นทุนทางการเงินและประสิทธิภาพในการทำงาน และมีข้อดีหลักๆ 3 ประการ ได้แก่
- ในแง่ของประสิทธิภาพในการทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ ทำให้ทีมสามารถบริหารจัดการได้มีประสิทธิภาพและมีมาตรฐานมากยิ่งขึ้น อีกทั้งขั้นตอนต่างๆ ก็ลดลงและง่ายขึ้น
- ในแง่ของหลักธรรมาภิบาลและการกำกับดูแล บริษัทสามารถเห็นภาพของกระแสเงินสดและบริหารจัดการกระแสเงินสดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการแหล่งที่มาของเงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นไปตามหลักเกณฑ์และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
- ในแง่ของการบริหารจัดการเงินที่คงค้างอยู่ในบัญชี ทั้งในรูปของเงินสด และลดการถือเงินสดในมือ ซึ่งจะทำให้สามารถบริหารจัดการเงินทุนของบริษัทได้ดียิ่งขึ้น
"ถึงแม้จะธุรกิจหลักของ ไทยยูเนี่ยน จะเป็นผู้ผลิตอาหารทะเล แต่ด้วยธุรกิจที่กระจายตัวอยู่ทั่วโลก และการที่บริษัทให้ความสำคัญกับนวัตกรรมทางการเงินอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เราได้นำนวัตกรรมต่างๆ เข้ามาพัฒนาการบริหารจัดการทางการเงินให้ดียิ่งขึ้น" ยงยุทธ กล่าวทิ้งท้าย
บทบาททางด้านนวัตกรรมและความยั่งยืน
- หนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ
- เป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (ISSF)
- เปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange® ในปี 2558
- เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่ 8 ปีติดต่อกัน โดย ได้รับเลือกเป็นบริษัทอันดับ 2 ของกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร