ปตท. เดินหน้าลงทุนพลังงานแห่งอนาคต หนุนสตาร์ทอัพสร้างโซลูชันลดคาร์บอน
ปตท. รุกปรับแผนลงทุนเพิ่มสัดส่วนพลังงานแห่งอนาคต ชู PTT ExpresSo สร้างนวัตกรรมเสริมสร้างธุรกิจใหม่ พร้อมร่วมโครงการ “Decarbonize Thailand Startup Sandbox” สนับสนุนสตาร์ทอัพเร่งหาโซลูชันช่วยลดการปล่อยคาร์บอน พลิกโฉมนวัตกรรมพลังงานของไทย ขับเคลื่อนสู่ Net-Zero
นายนิชฌาน ภิรมย์สวัสดิ์ Venture Capitalist and Head of Partnerships ของ PTT ExpresSo หน่วยธุรกิจที่มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อช่วยเหลือผู้คนและสังคม ในเครือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท. ในฐานะผู้นำด้านพลังงานของประเทศไทย ตระหนักถึงความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั่วโลก บริษัทจึงได้ปรับเป้าหมาย และทบทวนพอร์ตการลงทุนใหม่ ตั้งแต่ปัจจุบันจนถึงปี 2573 มุ่งสู่การสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ ด้วยการเร่งลงทุนในกลุ่มพลังงานแห่งอนาคต เช่น ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน และการลงทุนเพื่อเตรียมพร้อมรองรับธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น
พร้อมทั้งลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพเติบโตตามทิศทางของโลก อาทิ การต่อยอดธุรกิจปิโตรเคมีสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง และขยายภาคค้าปลีกในกลุ่มธุรกิจน้ำมัน และค้าปลีกให้ตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค รวมถึงลงทุนในธุรกิจด้านวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต และอาหารสำหรับอนาคต โดยวางเป้าหมายสร้างกำไรจากธุรกิจพลังงานแห่งอนาคต และธุรกิจใหม่มากกว่า 30% ในปี 2573
ซึ่งทั้งหมดจะมุ่งไปสู่การสร้างธุรกิจเพื่อความยั่งยืนที่มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 15% ในปี 2573 เมื่อเทียบปริมาณการปล่อยในปี 2563 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2593
“จากนี้ไป ปตท. จะขับเคลื่อนด้วยพลังงานแห่งอนาคต และธุรกิจใหม่ที่นอกเหนือจากพลังงาน และกำหนดวิสัยทัศน์ Decarbonization ซึ่งมั่นใจว่าเป็นอนาคตที่ใหญ่มาก"
โดยกำหนดกลยุทธ์ที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมายด้วย 2 เรื่องสำคัญ ได้แก่ หนึ่ง เทคโนโลยี แม้ปัจจุบันทำไปแล้วบางส่วน แต่ยังมีอีกหลายส่วนที่ยังไม่สำเร็จในเชิงเทคนิคและต้นทุน ดังนั้น เทคโนโลยีใหม่ๆ จะช่วยให้เกิดความสำเร็จ และขยายใหญ่ขึ้น เกิดการลดคาร์บอนอย่างกว้างขวางอย่างยั่งยืน
สอง ความร่วมมือกับพันธมิตร เพราะการ Decarbonization หากทำคนละทิศคนละทาง เชื่อมต่อกันในห่วงโซ่คุณค่า (Value chain) ไม่ได้ก็อาจจะไม่สำเร็จ แต่การมาแชร์กัน เอาความเก่ง และทรัพยากรของแต่ละองค์กรมาทุ่มเทร่วมกันจะทำได้เร็วขึ้น ที่สำคัญการร่วมได้อย่างมีพลังจะส่งผลดีต่อธุรกิจ เป็นประโยชน์ระดับประเทศด้วย
หากไทยสามารถทำห่วงโซ่คุณค่าใหม่ที่สามารถทำได้เร็ว และมีประสิทธิภาพมากกว่า ก็จะเป็นโอกาสที่จะส่งออกเทคโนโลยี และธุรกิจใหม่ไปประเทศอื่น เป็นผู้นำในระดับภูมิภาค ทำให้เป็นเครื่องจักรใหม่ในการขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศด้วย รวมถึงได้ช่วยเหลือสิ่งแวดล้อมในระดับโลก สร้างผลประโยชน์ให้กับองค์กร และผู้มีส่วนร่วมเกี่ยวข้องกัน
นายนิชฌาน กล่าวต่อว่า ปตท. จัดตั้งหน่วยงาน PTT ExpresSo ขึ้นมา มุ่งค้นหานวัตกรรมด้านพลังงานร่วมกับสตาร์ทอัพ เพื่อนำเอาเทคโนโลยีทั้งใน และนอกประเทศมาสร้างธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจด้าน Decarbonization ที่ต้องการขยายผลให้กว้างขึ้น โดยสร้าง Ecosystem ของ Decarbonize สตาร์ทอัพ กระตุ้นให้มีการเติบโตขึ้น ทั้งจากทีมของ ปตท. และทำโครงการร่วมกับสตาร์ทอัพภายนอก จึงสนใจเข้าร่วมโครงการ “Decarbonize Thailand Startup Sandbox” หรือ DTS สนับสนุนสตาร์ทอัพร่วมค้นหาโซลูชันลดคาร์บอน และผลักดันประเทศไทยสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นหนึ่งวิธีที่มีประโยชน์สร้างความสำเร็จอย่างยั่งยืนให้แก่ ปตท. และอุตสาหกรรมพลังงานของประเทศไทย
ทั้งนี้ วิธีลดการปล่อยคาร์บอนต้องลงทุนอย่างมหาศาล ยากที่จะสร้างกำไรได้ในระยะสั้น ดังนั้น การจะลดคาร์บอนในระดับใหญ่อย่างยั่งยืน ควรใช้กลไกลทางธุรกิจขับเคลื่อน มีเทคโนโลยีที่ดี และมีความคุ้มค่าในการดำเนินการ บริษัทจึงสนใจเข้าร่วมโครงการ DTS ให้การสนับสนุนสตาร์ทอัพที่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีสำคัญเพื่อการลดคาร์บอนอย่างยั่งยืน
ซึ่ง ปตท. มีความพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และประสบการณ์ที่สะสมมายาวนาน เพื่อเร่งสร้าง Decarbonize Thailand ให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการเติบโตของธุรกิจพลังงานในอนาคตคือ มุ่งไปสู่การสร้างพลังงานคาร์บอนต่ำ และเป็นอุตสาหกรรมที่มีอนาคตของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่จะทำให้ความสำเร็จเกิดขึ้นได้คือ ความร่วมมือของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ เอกชน และประชาชน ต้องร่วมกันผลักดันไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน
พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์ ศิลาวงษ์