เช็กเงินในกระเป๋า รับครึ่งปีหลัง หนังฟอร์มยักษ์จ่อคิวเข้าฉายเพียบ
เมเจอร์ฯ ชี้สัญญาณอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ กลับสู่ภาวะปกติ ครึ่งปีหลังหนังใหญ่ทั้งไทย-เทศ ตบเท้าเข้าฉายจำนวนมาก ลุ้นปี 65 หนังไทยทยอยชิงพื้นที่ เพิ่มสัดส่วนทำเงิน ปลุกตลาดเติบโตต่อเนื่อง
นรุตม์ เจียรสนอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ในครึ่งปีหลัง ยังมีโมเมนตัมที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหนังฟอร์มยักษ์ทั้งไทยและต่างประเทศตบเท้าจ่อคิวเข้าฉายจำนวนมาก
ทั้งนี้ เฉพาะหนังไทย ที่เมเจอร์ฯ รับบทเป็นผู้ผลิตเองมีไม่ต่ำกว่า 10 เรื่อง จะเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่ผลักดันตลาดให้เติบโตขึ้น แต่หากเปิดไทม์ไลน์หนังฟอร์มใหญ่ของไทยที่คาดทำเงิน จะนำทัพโดย บุพเพสันนิวาส 2 ส่วนหนังฮอลลีวู้ด เช่น อวตารภาค 2 ที่รอคอยกันมา 13 ปี จะเข้าฉายปลายปีนี้ ซึ่งในต่างประเทศยกให้เป็นหนังใหญ่สุดแห่งปีด้วย และยังมีหนังอื่นเสริมทัพเข้าฉาย เช่น มินเนี่ยน 2, Thor: Love and Thunder, Bullet train และBlack Panther 2 เป็นต้น ซึ่งคาดการณ์หนังเหล่านี้จะทำเงินหลักร้อยล้านบาทขึ้นไป
ขณะที่ภาพรวมครึ่งปีแรก หนังฟอร์มใหญ่ที่เข้าฉาย ต่างทำเงินได้มหาศาล เช่น Doctor Strange 2 และ Jurassic World Dominion ต่างทำเงินได้กว่า 300 ล้านบาท และ Top Gun: Maverick ทำเงินกว่า 100 ล้านบาท ฯ
“อุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ปีนี้คาดว่ากลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว มีหนังฟอร์มยักษ์จำนวนมากจ่อคิวเข้าฉายตลอดทั้งปี แม้ที่ผ่านมาหนังฮอลลีวู้ดอาจสะดุดไปบ้าง เพราะการทำโพสต์โปรดักชั่นล่าช้า แต่ภาพรวมยังอยู่ในทิศทางที่ดี ส่วนภาวะเงินเฟ้อ ค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น คาดว่าไม่กระทบต่อการดูหนังมากนัก เพราะถือเป็นการเสพความบันเทิงนอกบ้านที่ราคาต่ำมาก เฉลี่ยค่าตั๋วเพียงหลักร้อยบาท ยิ่งผู้ที่ถือบัตรสมาชิก M Pass จ่ายค่าตั๋วต่ำมาก ซึ่งเมื่อเทียบกับบันเทิงประเภทอื่น เช่น การดูคอนเสิร์ต แฟนมีทต่างๆ บัตรราคาหลักพันไปจนถึงหลักหมื่น”
แนวทางการทำตลาดครึ่งปีหลัง เมเจอร์ฯยังเดินหน้าอัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง แต่ละเดือนจะมีแคมเปญต่างๆจูงใจให้แฟนๆมาดูหนังมากขึ้น ส่วนการขยายโรงภาพยนตร์ บริษัทยังคงลงทุนเพิ่มจำนวนโรงหนังทั้งในและต่างประเทศ เช่น เปิดโรงหนังใหม่ที่โรบินสัน ราชพฤกษ์ และเปิดโรงที่กัมพูชา 2 แห่ง เนื่องจากตลาดตอบรับดีมาก
นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับการขยายการจำหน่ายป๊อปคอร์นนอกโรงภาพยนตร์มากขึ้น ทั้งในรูปแบบคีออส ซึ่งปัจจุบันมี 10 สาขา โดยเป้าหมายต้องการเปิดเพิ่มให้ได้ในทุกห้างค้าปลีกที่บริษัทมีโรงหนังให้บริการ โดยจุดยุทธศาสตร์ยังเน้นบริเวณใกล้เคียงซูเปอร์มาร์เก็ต
ปัจจุบันป๊อปคอร์นที่จำหน่ายนอกโรงภาพยนตร์รูปแบบคีออส ทำยอดขายเฉลี่ย 1 ล้านบาทต่อเดือน บริษัทยังมีบริการเดลิเวอรี จำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ฯ ทุกโมเดลสร้างยอดขายรวมเฉลี่ย 50 ล้านบาทต่อเดือน เพิ่มจากปีก่อนที่ขายเฉลี่ย 10 ล้านบาทต่อเดือนเท่านั้น
“นอกจากการเปิดคีออสจำหน่ายป๊อปคอร์นในห้างค้าปลีก บริษัทยังศึกษาโมเดลแฟรนไชส์ขายป๊อคอร์นด้วย เพื่อเป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์สร้างการเติบโต เนื่องจากเป้าหมายบริษัทต้องการผลักดันยอดขายให้เติบโตขึ้น ซึ่งปีนี้อยากเห็นป๊อปคอร์นทำเงินเฉลี่ย 100 ล้านบาทต่อเดือน”
ส่วนการลงทุนผลิตภาพยนตร์เป็นอีกภารกิจสำคัญของเมเจอร์ฯ ในการผลักดันอุตสาหกรรมหนังไทยและโรงภาพยนตร์เติบโตและมีสัดส่วนแตะ 50% ของทั้งตลาด โดยปีหน้าวางแผนจะผลิตหนังเป็น 30 เรื่อง จากปีนี้มี 20 เรื่อง ซึ่งนอกจากจะฉายในโรงแล้ว บริษัทยังขายสิทธิ์ให้กับแพลตฟอร์มโอทีทีที่ปัจจุบันได้รับผลตอบแทนที่ดี ทำให้เม็ดเงินดังกล่าวถูกนำมาต่อยอดการลงทุนผลิตคอนเทนต์ภาพยนตร์ให้มีคุณภาพเป็นวัฏจักร
“ย้อนไป 5 ปี หนังไทยมีสัดส่วนในตลาดน้อยราว 20-30% เท่านั้น แต่เมเจอร์ฯต้องการเป็นหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนตลาดหนังไทยให้โตมีสัดส่วน 50% ให้ได้โดยเร็ว อย่างอุตสาหกรรมคอนเทนต์ โดยเฉพาะภาพยนตร์เกาหลีใต้เติบโต เพราะหนังโลคัลมีบทบาทอย่างมาก”
จากภาพรวมดังกล่าว บริษัทคาดการณ์รายได้ปี 2565 จะฟื้นตัวกลับมาใกล้เคียงก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19