เปิดตัว Keep Di บริการ อินชัวรันส์ บูโร แรกของโลกบนบล็อกเชน
'ซีค แอนด์ คีพ เจเนซิส' เปิดตัว Keep Di บริการล้ำหน้าในรูป National Insurance Bureau ครั้งแรกของอุตสาหกรรม จับเทรนด์ Web 3.0 พัฒนาแพลตฟอร์มบูโรบนเทคโนโลยีบล็อกเชน ใช้ NFT ในการเก็บข้อมูลผู้ใช้ คาดมีผู้ใช้บริการในปีแรก 3 แสนราย เล็งต่อยอดตลาดต่างประเทศต่อในปีหน้า
นายกิตตินันท์ อนุพันธ์ ซีอีโอ และผู้ก่อตั้ง Keep Di ภายใต้บริษัท ซีค แอนด์ คีพ เจเนซิส จำกัด เปิดเผยว่า การมาถึงของ Web 3.0 และความพร้อมของเทคโนโลยีบล็อกเชน นับเป็นโอกาสชั้นเยี่ยมที่ช่วยสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจด้วยเครื่องมือการตลาดล้ำหน้ายุคดิจิทัลที่ให้ผลลัพธ์จริงในเวลาอันรวดเร็วในฐานะผู้พัฒนาแพลตฟอร์มนวัตกรรมล้ำหน้าที่ช่วยสร้างโอกาสใหม่ให้ธุรกิจประกันภัยมายาวนาน
นายกิตตินันท์ เล็งเห็นถึงโอกาสมหาศาลของเทคโนโลยีดังกล่าว จึงพัฒนาแพลตฟอร์มบนเทคโนโลยีบล็อกเชน ที่ให้บริการมิติใหม่ด้านข้อมูลเชิงลึก ภายใต้ชื่อ Keep Di เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายในธุรกิจประกันภัย ด้วยข้อมูลมือหนึ่ง (First-party data) แบบไม่ผ่านตัวกลาง และเป็นข้อมูลเชิงลึกคุณภาพสูง สามารถนำไปต่อยอดธุรกิจ และสร้างโอกาสใหม่ทางการตลาดได้จริง
“Keep Di คือ แพลตฟอร์มการบริการรูปใหม่บนบล็อกเชน ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ให้แนวคิดในการทำหน้าที่เสมือนเป็น National Insurance Bureau (NIB) ของระบบนิเวศน์ด้านการประกันภัย โดยเก็บรักษาข้อมูลผู้ใช้งานไว้ใน NFT (Non-fungible Token) ได้ถูกระเบียบ ให้ความปลอดภัยสูง จุดเด่นสำคัญคือ การมอบประโยชน์โดยตรงแก่ผู้ใช้ ในลักษณะของเครื่องมือทางการตลาดที่ให้ประสิทธิภาพสูง สำหรับทั้งธุรกิจประกันภัย และผู้ใช้งาน โดยแพลตฟอร์มการบริการ Keep Di จะเริ่มเปิดให้ใช้บริการในเดือนกันยายน นี้” นายกิตตินันท์ กล่าว
แพลตฟอร์มบริการ Keep Di ได้รับการออกแบบ และบริหารจัดการบนเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ของโลกการเก็บข้อมูลที่จะเปลี่ยนรูปแบบในการเก็บข้อมูลผู้ใช้โดยสิ้นเชิง จากเดิมผู้ประกอบการมักจะเก็บข้อมูลก็ต่อเมื่อมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการ หรืออาศัยช่องทางโซเชียลต่างๆ ในการเก็บข้อมูล ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูง และหากจะต่อยอดเพื่อนำข้อมูลมาใช้นำเสนอบริการที่ตรงใจผู้บริโภค ก็มักจะต้องลงทุนระบบไอทีเอง ไม่ว่าจะเป็น CRM และระบบวิเคราะห์อื่นๆ เพิ่มเติม
เพื่อให้เข้าถึงพฤติกรรมของผู้บริโภค หรืออาศัยช่องทางจากคู่ค้าในการแบ่งปัน และส่งต่อข้อมูลด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งทำให้มีต้นทุนสูง และหลายครั้งข้อมูลที่ได้มาไม่ตรงกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง เหล่านี้ คือ อุปสรรคที่ขัดขวางโอกาสในการเติบโตของธุรกิจสายประกัน
“บริการของแพลตฟอร์ม Keep Di จะปฏิวัติรูปแบบการเก็บข้อมูลแบบเดิม โดยลูกค้าเป็นฝ่ายยินยอมให้เก็บข้อมูลได้โดยตรง และข้อมูลนั้นจะถือเป็นทรัพย์สินของผู้ใช้แต่เพียงผู้เดียว ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง หรือเปลี่ยนมือได้หากไม่ได้รับการยินยอมจากผู้ใช้ ช่วยรักษาความเป็นส่วนตัว และให้ความเป็นส่วนปลอดภัยสูง เนื่องจากเป็นการจัดเก็บโดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ที่สำคัญคือ เป็นข้อมูลที่ได้รับการตรวจสอบยืนยันความถูกต้อง และเป็นข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคเชิงลึกที่ผ่านการวิเคราะห์ในหลายมิติ จึงเป็นข้อมูลที่มีคุณภาพสูง นำไปใช้งานได้จริง ตอบโจทย์กลยุทธ์การตลาดเฉพาะทางของแต่ละธุรกิจ (personalized marketing) ได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย”
โดยที่เรียกว่าเป็น บูโร เนื่องจาก Keep Di จะทำหน้าที่เสมือนเป็นแพลตฟอร์มกลางที่มีหน้าที่ในการเก็บข้อมูล โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้งานข้อมูลแต่อย่างใด เพราะการจะนำข้อมูลมาใช้ ต้องขึ้นอยู่กับความยินยอมระหว่างผู้ใช้ และธุรกิจในระบบนิเวศน์ประกันโดยตรง ซึ่งบล็อกเชน จะทำหน้าที่เป็นระบบโครงสร้างหลักหลังบ้าน
รวมทั้งมีเทคโนโลยี NFT (Non-Fungible Token) เป็นเสมือนกลไกหรือเครื่องมือในการเก็บข้อมูลโดยตรงของผู้ใช้ ข้อมูลที่ถูกเก็บจะไม่สามารถนำมาทำซ้ำ และถือเป็นสินทรัพย์ของเจ้าของข้อมูลแต่เพียงผู้เดียว ด้วยโครงสร้างลักษณะดังกล่าวจึงให้แพลตฟอร์ม Keep Di ถือได้ว่าเป็นเสมือนบูโรกลางด้านข้อมูลของระบบนิเวศน์ประกันภัยรายแรกของโลก ที่ให้ความปลอดภัย และมีความโปร่งใสในการบริหารจัดการ
ในเบื้องต้น ผู้บริโภคที่อยู่ในระบบนิเวศน์ประกันภัย หรือต้องการเข้าร่วมแพลตฟอร์ม เพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ สามารถดาวน์โหลด e-wallet เพื่อเก็บข้อมูลส่วนบุคคลในรูปของ NFT ไว้ใช้ในการแลกเปลี่ยนบริการหรือรับสิทธิประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ จากคู่ค้าที่เข้าร่วมแพลตฟอร์ม ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 200 ราย และเป็นคู่ค้าในระบบนิเวศน์ประกันภัยซึ่งส่วนใหญ่ทำธุรกิจหรือใช้บริการของ Claim Di อยู่แล้ว
โดยบริษัทได้เริ่มกระจาย token สู่ระบบนิเวศน์คู่ค้าด้านประกันภัยตั้งแต่เดือนเมษายน ที่ผ่านมา จนปัจจุบันคิดเป็นจำนวน token กว่า 3 ล้านเหรียญ ซึ่งคู่ค้าเหล่านี้ก็จะนำ token ที่มีไปใช้ในการทำการตลาดเพื่อมอบให้กับลูกค้าของตน นับเป็นการสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจโทเคน (tokenomics) ที่ให้ประโยชน์ทางการตลาดโดยตรงแก่ทั้งคู่ค้า และลูกค้า (ผู้บริโภค)
ปัจจุบัน Keep Di มีจำนวน token ที่หมุนเวียนอยู่ในระบบนิเวศน์ 1,000 ล้านเหรียญ โดยกระจายไปยังกลุ่มหลัก ได้แก่ผู้ใช้ที่เก็บ NFT ใน e-wallet และคู่ค้าที่เข้าร่วมในระบบนิเวศน์ของแพลตฟอร์ม National Insurance Bureau ที่จะได้รับ token ตามเงื่อนไขของบริษัท
โดยคู่ค้าสามารถใช้ token ในการทำธุรกรรมต่างๆ ในระบบได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำการตลาดตรงไปยังกลุ่มลูกค้าหรือผู้ใช้งาน โดยการใช้งาน token จะอยู่ภายใต้กฎที่ ก.ล.ต. เป็นผู้กำหนด ซึ่งบริษัทจะมีระบบควบคุมปริมาณเหรียญอย่างเข้มงวด เพื่อให้มั่นใจว่ามูลค่าของ token จะไม่ผันผวนเหมือน token ทั่วไปในตลาด
“เราคาดการณ์ว่าจะมีผู้ใช้ดาวน์โหลด e-wallet ของ Keep Di เพื่อใช้บริการบนบูโรในปีนี้ประมาณ 300,000 ราย โดยการเก็บข้อมูลในรูปแบบของ NFT จะอยู่ที่ประมาณหนึ่งแสนชุดข้อมูล และในปีหน้าเมื่อระบบสมบูรณ์เต็มรูปแบบ คาดว่าจะมีผู้ใช้ถึง 3 ล้านราย ในขณะที่การสร้างชุดข้อมูล NFT จะสูงถึงกว่า 10 ล้านชุด ภายในปี 2024 จากนี้” นายกิตตินันท์ กล่าว
เมื่อนำศักยภาพของ National Insurance Bureau มาผสานรวมกับนวัตกรรมด้าน AI และการพัฒนาเพื่อต่อยอดการใช้งานร่วมกับระบบ e-Payment หรือการใช้จ่ายเงินอิเล็กทรอนิกส์รูปแบบใหม่ ก็จะช่วยผลักดันธุรกิจในระบบนิเวศน์ประกันภัยไปสู่การเติบโต โดยช่วยให้ธุรกิจประกันภัยสามารถขยายฐานธุรกิจ และการดำเนินงานรูปแบบใหม่เพื่อสร้างการเติบโตของรายได้ อีกทั้งช่วยลดต้นทุนในการทำธุรกิจ โดยธุรกิจจะสามารถใช้ระบบใหม่ในเดือนสิงหาคมนี้ได้อย่างสมบูรณ์
“ในช่วงต้นของการให้บริการ Keep Di และแพลตฟอร์มบูโร จะรองรับธุรกิจที่อยู่ในระบบนิเวศน์ด้านประกันภัย เป็นกลุ่มแรก ก่อนที่จะขยายไปสู่ภาคธุรกิจในกลุ่มอื่น อาทิ กลุ่มธุรกิจรถยนต์ กลุ่มค้าปลีก เฮลท์แคร์ ฯลฯ ภายในปีหน้า นอกจากนี้ เรายังมีแผนในการขยายการให้บริการแพลตฟอร์มบูโรของ Keep Di ไปสู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่เป็นผู้ร่วมลงทุนใน Claim Di อย่าง ไต้หวัน เกาหลี และมาเลเซีย อีกด้วย” นายกิตตินันท์ กล่าวสรุป
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์