เอ็กซิมแบงก์โชว์สินเชื่อพุ่งดันส่งออกขยายตัว 7%

เอ็กซิมแบงก์โชว์สินเชื่อพุ่งดันส่งออกขยายตัว 7%

เอ็กซิมแบงก์โชว์สินเชื่อ 7 เดือนทะลุเป้า คาดทั้งปีคงค้างกว่า 1.65 แสนล้านบาท แม้การส่งออกจะขยายตัวแผ่วลง แต่คาดทั้งปียังโตได้ 6-7% ประกาศตรึงดอกเบี้ยที่ 5.75% ต่อปี ช่วยลดต้นทุนผู้ประกอบการ พร้อมเปิดตัวนวัตกรรมดัชนี “EXIM Index”ประเมินทิศทางการส่งออก และจีดีพีของไทย

นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ การส่งออกของไทยยังไปต่อได้ แต่อาจชะลอความเร็วลง จากที่ขยายตัว 12.9% ในช่วง 5 เดือนแรกปี โดยคาดการณ์ส่งออกทั้งปีจะขยายตัว 6-7%

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปราะบางในปีนี้ ธนาคารได้สนับสนุนสินเชื่อแก่ผู้ส่งออกได้มากขึ้น โดยสามารถบรรลุเป้าหมายสินเชื่อคงค้างปีนี้ได้แล้วที่ 1.58 แสนล้านบาท ภายใน 7 เดือนแรก คาดว่า ทั้งปีสินเชื่อคงค้างจะอยู่ที่ 1.65 แสนล้านบาท

“ในจำนวนสินเชื่อคงค้างดังกล่าว เรามียอดสินเชื่อคงค้างที่ปล่อยให้ธุรกิจที่ไปดำเนินการในกลุ่มประเทศ CLMV และ New Frontiers จำนวนกว่า 5.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 9.7 พันล้านบาท หรือ 21.61% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นสินเชื่อคงค้างในเวียดนามกว่า 1.45 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.57% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน”

ทั้งนี้ ในช่วงปลายปีหรือราวเดือนก.ย.นี้ ธนาคารจะดำเนินการออกหุ้นกู้วงเงิน 5 พันล้านบาท เพื่อนำมาสนับสนุน การปล่อยสินเชื่อใหม่ให้แก่ลูกค้า โดยขณะนี้ มีความต้องการจากนักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจงแล้วเกินกว่าครึ่งหนึ่ง และหากมีความต้องการของนักลงทุนจำนวนมาก เราก็จะพิจารณาเพิ่มเติมวงเงินการออกหุ้นกู้ดังกล่าว

สำหรับการปล่อยสินเชื่อใหม่ในครึ่งแรกของปีนี้นั้น ธนาคารสามารถอนุมัติสินเชื่อใหม่ได้กว่า 3.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.52% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นวงเงินของลูกค้าขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)กว่า 8.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.42% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีจำนวนลูกค้าอยู่ที่กว่า 5.4 พันราย เพิ่มขึ้นถึง 22.78% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้า SMEs 83.84% สะท้อนความสำเร็จในการสนับสนุนธุรกิจให้เติบโตตลอดทั้ง Value Chain

สำหรับผลกำไรในครึ่งแรกของปีนี้อยู่ที่ 1.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.6% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีหนี้เสียอยู่ที่  2.9% ต่ำกว่าในระดับที่อยู่เฉลี่ยที่ 3.1% อย่างไรก็ดี ธนาคารก็ได้ดำเนินการกันสำรองหนี้เสียไว้ในระดับสูงกว่า 1.28 หมื่นล้านบาท หรือ 275% เพื่อรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ

เขากล่าวด้วยว่า ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่ทำให้สินค้าแพง ต้นทุนธุรกิจ และค่าขนส่งเพิ่มสูงขึ้น ในการช่วยเหลือให้ผู้ส่งออกไทยรู้เท่าทันสถานการณ์ และเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายที่จะเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า ธนาคารจึงริเริ่มจัดทำ “EXIM Index” นวัตกรรมด้านงานวิจัยธุรกิจที่แสดงผลเป็นดัชนีชี้วัดสภาวะส่งออกล่วงหน้า

โดยใช้ข้อมูล 25 ตัวชี้วัดใน 5 มิติ ประกอบด้วยอุปสงค์ (Demand) ทิศทางเศรษฐกิจในตลาดหลักและตลาดใหม่ การส่งออกของประเทศคู่ค้า อุปทาน (Supply) ดัชนีแรงกดดันด้านห่วงโซ่อุปทานโลก การลงทุนภาคเอกชน ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ราคา (Prices) ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ราคาอาหารและสินค้าเกษตรโลก บรรยากาศตลาด (Sentiment) ดัชนีตลาดหุ้น ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในประเทศคู่ค้า และธุรกรรมของ EXIM BANK ผลลัพธ์เป็น “ดัชนีชี้นำการส่งออกของไทย”

โดย ณ ไตรมาส 2 ปีนี้อยู่ที่ 100.63 ลดลงจาก 100.90 ในไตรมาสแรกปีสะท้อนว่าในระยะข้างหน้า การส่งออกไทยมีแนวโน้มชะลอตัว เป็นผลจากเศรษฐกิจคู่ค้าที่ชะลอตัวลง อาทิ สหรัฐอเมริกา และยุโรป ผู้บริโภคและนักลงทุนมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย และภาวะเงินเฟ้อ ปัญหา Global Supply Chain ยังมีอยู่ ส่งผลกระทบต่อต้นทุนของผู้ส่งออก และธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศที่เริ่มชะลอลง แม้จะยังขยายตัวได้

สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัวใน 2 มิติ ประการแรก ปรับตัวสู้ต้นทุนแพง ยกระดับสินค้า และกระบวนการผลิต เพื่อเข้าสู่ตลาดที่แข่งขันด้วยสินค้าที่มีนวัตกรรม ตอบโจทย์เทรนด์โลก และผู้บริโภคยุคใหม่ ได้แก่ สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดิจิทัล และดูแลสุขภาพ (Green, Digital, Health : GDH) รวมถึง การปรับปรุงแนวทางการตลาดด้วยการโชว์เอกลักษณ์ของสินค้า ขายแบบซอฟต์พาวเวอร์ สร้างและสื่อสารแบรนด์อย่างน่าสนใจ

ประการที่สอง บริหารความเสี่ยง กระจายตลาดหรือบุกตลาดใหม่ อาทิ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ซึ่งเป็นเขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดของโลก มีประชากรกว่า 2,300 ล้านคน มีสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้แก่ผู้ส่งออกไทย รวมทั้งเข้าสู่ตลาดการค้าออนไลน์มากขึ้น

โดยคาดว่ามูลค่า E-Commerce โลกจะเติบโตต่อเนื่องจาก 4.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2564 เป็น 7.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 ก้าวกระโดดจาก 3.4 และ 4.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2562 และ 2563 ตามลำดับ และปิดความเสี่ยงรอบด้านให้มากที่สุด

เขายังกล่าวด้วยว่า ธนาคารพร้อมช่วยผู้ประกอบการไทยสู้ต้นทุนแพง และบริหารความเสี่ยง ด้วย “Hybrid Model : ฟื้นส่งออกสู้ต้นทุน รุกลงทุนสร้างอุตสาหกรรมใหม่” ดังนี้ 1.นโยบายตรึงดอกเบี้ย Prime Rate 5.75% ต่อปี เพื่อแบ่งเบาภาระด้านต้นทุนของผู้ประกอบการไทย

2.บริการใหม่ “EXIM Export Ready Credit” วงเงินสูงสุด 5 ล้านบาท ดอกเบี้ยต่ำสุด 4.5% ต่อปีใน 6 เดือนแรก ผ่อนชำระคืนภายใน 3 ปี เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs นำไปใช้เสริมสภาพคล่องของกิจการส่งออก และที่เกี่ยวเนื่อง

3.เงินทุน เพื่อสนับสนุนการกระจายตลาด การยกระดับสินค้าตอบโจทย์เทรนด์โลก GDH การลงทุนทั้งใน และต่างประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรมใหม่ที่เสริมสร้าง R&D ให้กับสินค้าไทย เช่น อุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ-หมุนเวียน-สีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Economy) และ S-Curve โดย EXIM BANK พร้อมสนับสนุนธุรกิจทุกขนาดตลอดทั้ง Supply Chain การส่งออกของไทย เชื่อมโยงกับ Supply Chain ของโลก

3.เครื่องมือบริหารความเสี่ยงทางการค้า และการลงทุนระหว่างประเทศ อาทิ บริการประกันการส่งออก คุ้มครองความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อในต่างประเทศ บริการประกันความเสี่ยงการลงทุน และบริการสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า และ 4.EXIM Thailand Pavilion ช่องทางค้าขายออนไลน์บน E-Commerce ชั้นนำของโลก

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์