ผันผวนจากผลประกอบการและตลาดรอดูการประชุมเฟด

ผันผวนจากผลประกอบการและตลาดรอดูการประชุมเฟด

นักลงทุนรอฟังถ้อยแถลงของธนาคารกลางสหรัฐฯ หุ้นสหรัฐฯ ปรับลดลงตอบรับแนวโน้มผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยีที่ต่ำคาดเล็กน้อย (ทั้ง Microsoft และ Alphabet) ภาพรวมการลงทุนในระยะสั้นยังผันผวนจาก

1) ผลประกอบการบจ.ทั่วโลกที่อาจชะลอ 2) ความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจโลกจากปัญหายุโรปและอสังหาริมทรัพย์จีน และ 3) การดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ เรามองการขึ้นดอกเบี้ย 0.75% อยู่ในมุมมองที่ตลาดคาดแล้ว แต่การส่งสัญญาณถึงทิศทางเงินเฟ้อและมุมมองทางเศรษฐกิจ จะมีผลต่อการปรับสถานะการลงทุนและชี้นำทิศทางตลาดในช่วง 1 เดือนข้างหน้า 

 

กลุ่มประกัน เบี้ยโตแต่กำไรอาจลด – เราคาดงบกลุ่มประกันช่วงไตรมาส 2/65 จะมีความท้าทายจากปัจจัยต่างๆดังนี้ 1) ประกันชีวิต ค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มขึ้นจากการเคลมค่าใช้จ่ายในการตรวจรักษาโควิดหลังมีการระบาดรอบใหม่ ขณะที่ภาครัฐไม่ได้ดูแลค่าใข้จ่ายในการรักษาให้เหมือนปีก่อน 2) กลุ่มประกันภัย เบี้ยประกันคาดเติบโตต่อเนื่องจากจำนวนบริษัทประกันที่ลดลง แต่อัตรากำไรที่ดีเกินไปในปีก่อนจะกลับสู่ปกติในปีนี้ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการเคลมประกันภัย โดยเฉพาะประกันรถยนต์ที่จะกลับเพิ่มขึ้นมาหลังกลับมาเปิดเมือง // ซึ่งเมื่อรวมกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เริ่มปรับลดลง ทำให้นักลงทุนอาจต้องระวังความผันผวนของหุ้นในกลุ่มประกัน ซึ่ง ณ วันนี้ น่าสนใจน้อยลงเมื่อเทียบกับช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา
 

กลุ่มไฟฟ้า – วันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะมีการพิจารณาตัวเลขค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) สำหรับงวดก.ย.-ธ.ค. ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุนค่าก๊าซและพลังงาน ซึ่งระดับของการปรับขึ้นน่าจะอยู่ในช่วง 0.60-0.90 บาท/หน่วย // การปรับขึ้นเป็นโอกาส “ขาย” เนื่องจากงบไตรมาส 2/65 น่าจะอ่อนแอจาก FX Loss และหุ้นรับข่าว Ft ไปมากแล้ว

ประเด็นเก็งกำไรอื่น 1) กลุ่มเครื่องดื่ม อาทิ OSP, CBG, ICHI, SAPPE 2) กลุ่มท่องเที่ยว AOT, CENTEL, ERW, MINT, BAFS, AAV, SHR, VRANDA, SPA 3) กลุ่มเปิดเมือง CPALL, MAKRO, MAJOR, MBK 4) กลุ่มอาหารและเกษตร CPF, GFPT, TFG, TU, KSL, KTIS, KBS, BIS, ASIAN  5) หุ้นได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน BABA80, TENCENT80, CHINA, STAR5001 6) เก็งกำไรทางเทคนิค JMT, HANA, PTL, PR9, TEAM, OTO, ICHI

ภาพรวมกลยุทธ์: อยู่ระหว่างรอยต่อของการเลือกกรอบ 1,520-1,555 จุด และ 1,555-1,590 จุด ภาพใหญ่เน้นเลือกซื้อ 1) กลุ่มหุ้นเปิดเมือง (ท่องเที่ยว ห้างสรรพสินค้า ค้าปลีก) 2) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน (DR และ ETF อิงหุ้นจีน) ขณะที่เก็งกำไรระยะสั้น มองหุ้นใหญ่ที่อาจได้ประโยชน์จากเงินทุนไหลเข้ารอบใหม่ อาทิ ธนาคาร การเงิน มีความน่าสนใจ  //หุ้นแนะนำ:  BANPU*, SAWAD*, AMANAH*, PTG* 

แนวรับ: 1,545 / แนวต้าน : 1,565 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%
 

ประเด็นการลงทุน

สหรัฐเผยยอดขายบ้านใหม่ต่ำกว่าคาด - ลดลง 8.1% สู่ระดับ 590,000 ยูนิตในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2563 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 660,000 ยูนิต จากระดับ 642,000 ยูนิตในเดือนพ.ค.

ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 3 - Conference Board ระบุว่า ดัชนีร่วงลง 2.7 จุด สู่ระดับ 95.7 ในเดือนก.ค. ปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน

สหรัฐเตรียมระบายน้ำมันอีก 20 ล้านบาร์เรลสกัดราคาพุ่ง – ก่อนหน้านี้ รัฐบาลจะระบายน้ำมันจำนวน 1 ล้านบาร์เรล/วันออกจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ (SPR) เป็นเวลา 6 เดือน ขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ระบายน้ำมันจำนวน 125 ล้านบาร์เรล

IMF ลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลก - โดยคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะมีการขยายตัว 3.2% ในปี 2565 ก่อนที่จะชะลอตัวสู่ 2.9% ในปี 2566 ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐสู่ระดับ 2.3% ในปี 2565 และ 1.0% ในปี 2566 ขณะที่คาดว่าเศรษฐกิจจีนขยายตัว 3.3% ในปีนี้ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 40 ปี 

บริษัทขนาดใหญ่สหรัฐฯรายงานผลประกอบการไตรมาส2 ทั้งดีและแย่กว่าคาด

      โคคา-โคล่า (KO) – EPS 70 เซนต์/หุ้น vs Consensus 67 เซนต์/หุ้น
      แมคโดนัลด์ (MCD)–EPS 2.55 ดอลลาร์/หุ้น vs Consensus 2.47 ดอลลาร์/หุ้น
      เจเนอรัล มอเตอร์(GM)–EPS 1.14 ดอลลาร์/หุ้น vs คาดที่ 1.20 ดอลลาร์/หุ้น

"คนละครึ่ง" เฟส 5 จ่าย 800 บาท/คน เริ่ม 1 ก.ย. - ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติโครงการคนละครึ่งเฟส 5 ให้ใช้จ่าย 800 บาท/คน เริ่มใช้ได้ตั้งแต่ 1 ก.ย.-31 ต.ค.นี้ โดยสามารถใช้จ่ายได้ไม่เกินวันละ 150 บาท 

ยกเว้นภาษีศุลกากรรถ BEV ที่ประกอบ-ผลิตในเขตนิคมฯ ปี 65-68 - ครม ยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ที่ประกอบ หรือผลิตในเขตปลอดอากร ส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า (ประเภท Battery Electric Vehicle: BEV)

IPO เข้าซื้อขายวันแรก – 27 ก.ค. CHIC (MAI) / 2 ส.ค. YONG (MAI)

 

ประเด็นติดตาม: 27 ก.ค. - Fed Interest Rate Decision / 28 ก.ค. – Thailand GDP, US Initial Jobless Claims / 29 ก.ค. – EU CPI & GDP / 1 ส.ค. – US ISM Manufacturing PMI 

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)