SCGP - มาตามนัด (วันที่ 27 กรกฎาคม 2565)

SCGP - มาตามนัด (วันที่ 27 กรกฎาคม 2565)

กำไรสุทธิใน 2Q ต่ำกว่าประมาณการของเรา 2% ยอดขายสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร เพิ่มขึ้น 3% qoq และ 27% yoy โดยยอดขายที่เพิ่มขึ้น yoy เป็นเพราะตลาดเวียดนาม ราคาขายที่สูงขึ้น และสายการผลิตใหม่ของบรรจุภัณฑ์ในประเทศฟิลิปปินส์

ส่วนยอดขายจากสายธุรกิจเยื่อ และกระดาษ (fibrous chain) เพิ่มขึ้น 9% qoq และ 28% yoy จากราคาเยื่อกระดาษ  ที่พุ่งสูงขึ้น และอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นของกระดาษสำหรับผลิตบรรจุภัณฑ์อาหาร ทั้งนี้ EBITDA ลดลง 2% yoy เหลือ 5.5 พันล้านบาท เนื่องจากอัตราค่าระวางเพิ่มขึ้น โดย EBITDA margin อยู่ที่ 14% (IPC อยู่ที่ 12%, fibrous chain อยู่ที่ 18%) เพิ่มขึ้น1ppt qoq แต่ลดลง 5ppt yoy ทั้งนี้ SCGP บันทึกค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว 50 ล้านบาทใน 2Q ดังนั้น กำไรสุทธิจึงอยู่ที่ 1.86 พันล้านบาท (EPS 0.43 บาท) เพิ่มขึ้น12% qoq แต่ลดลง 18% yoy

 

ปัจจัยขับเคลื่อนอยู่ที่การคลาย lockdown ของจีนและต้นทุนพลังงานที่ลดลง

การ lockdown ของจีนทำให้อุปสงค์อ่อนแอลง และทำให้เกิดภาวะอุปทานล้นตลาดเนื่องจากตลาดส่งออกหดตัวลง แต่เราคิดว่าอุปสงค์น่าจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นได้ใน 2H นอกจากนี้ SCGP ยังเผชิญกับราคาพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นด้วย โดยคาดว่าสัดส่วนของต้นทุนถ่านหิน (6% ของต้นทุนพลังงานรวมใน 1H) จะเพิ่มขึ้นเป็น 8% ใน 2H  ทั้งนี้ SCGP พยายามจะลดผลกระทบด้วยการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็น 22.4% ใน 1H จาก 21.1% ในปี 2021 นอกจากนี้ อัตราค่าระวางยังลดลงใน 2Q และน่าจะลงต่อใน 2H ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบในฝั่ง margin ไปได้บ้าง เรามองว่าการที่ SCGP จะขึ้นราคาขายยังเป็นประเด็นที่ท้าทายท่ามกลางสภาวะการแข่งขันในประเทศอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ (จากที่ปรับขึ้นราคาเฉลี่ยไปแล้ว 3% ใน 1Q และ 2Q)

 

 

 

 

 

แนะนำ ถือ โดยประเมินราคาเป้าหมาย 62 บาท บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.25 บาท/หุ้น กำหนดขึ้น XD วันที่ 8 สิงหาคม

ประเมินราคาเป้าหมาย DCF ที่ 62 บ. จาก PE ปี FY22/23F ที่ 34.0x/32.7x และ EV/EBITDA ที่ 13.3x/13.3x ซึ่งอยู่ในช่วงขอบบนของมูลค่าหุ้นกลุ่มนี้ในตลาดโลก