'รวิศ' นำทัพ ‘ศรีจันทร์’ ทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่เฮลท์ บิวตี้ เวลเนส และเข้าตลาด
จากพลิกภาพแบรนด์เเก่าแก่เชย "ศรีจันทร์" ที่ขายแค่ผลิตภัณฑ์ผงผอม มาสู่ตลาดเครื่องสำอางจนสร้างยอดขายหลักสิบล้านสู่ร้อยล้าน ล่าสุดภารกิจใหม่และใหญ่ของ "รวิศ หาญอุตสาหะ" ทรานส์ฟอร์มธุรกิจสู่ บิวตี้ และเวลเนส พร้อมแปลงเป็น "มหาชน" ระดมทุน ดันองค์กรขึ้น Top3 ในตลาด
กว่า 7 ทศวรรษ คือเส้นทางธุรกิจของ “ศรีจันทร์สหโอสถ” ร้านขายยาขนาดย่อม และมี “ผงหอมศรีจันทร์” ที่ตอบสนองลูกค้ามาอย่างยาวนาน
ทว่า ย้อนไปราวปี 2557 การพลิกโฉมแบรนด์และแปลงธุรกิจครั้งใหญ่เกิดขึ้น เมื่อทายาทรุ่น 3 เข้าไปรับไม้ต่อจาก “ปู่” แบบบังเอิญ แต่ด้วยความเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง "รวิศ หาญอุตสาหะ" จึงร้อนวิชา อำลาแวดวงการเงิน มาสวมบทนักการตลาด ซึ่งสิ่งที่ทุกคนประจักษ์คือการเปลี่ยนผงหอมศรีจันทร์ มาสู่แป้งรองพื้นและใช้ชาวต่างชาติเป็นนางแบบโฆษณา ยกระดับแบรนด์
ปี 2565 รวิศ ในฐานะแม่ทัพองค์กร หรือ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด กำลังวางรากฐานธุรกิจครั้งใหม่ เพื่อทราสฟอร์มองค์กรไม่ให้จำกัดกรอบแค่ “เครื่องสำอาง” แต่จะเป็นบริษัทที่ผลิตสินค้าสุขภาพ ความงาม เสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีแก่ผู้บริโภค หรือ Health, Beauty and Wellness
“เป้าหมายตอนนี้บริษัทไม่ต้องการเป็นแค่คอสเมติก แต่จะเป็นเฮลท์ บิวตี้ แอนด์ เวลเนส โดยความงามจะเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตโฟลิโอบริษัท”
แนวทางการทรานส์ฟอร์มสู่สินค้าสุขภาพและความงาม จะเห็นการออกสินค้าใหม่ๆที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคและเทรนด์รักสุขภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น อาหาร เครื่องดื่ม อะไรที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ มองเป็นโอกาสทางการตลาดทั้งสิ้น แต่ต้องเจาะจงให้ได้ว่าจะเน้นสุขภาพหมวดไหน เพราะยุคนี้การทำตลาดหว่านครอบจักรวาลไม่ได้
ที่ผ่านมา บริษัทมีการปรับพอร์ตโฟลิโอสินค้าและขยายแบรนด์ให้กว้างขวางมากขึ้น โดยศรีจันทร์ เน้นสินค้ากลุ่มเมกอัพ และปั้นแบรนด์ SASI มาชนตลาดแมสแบบเต็มที่ นำเสนอสินค้าราคาต่ำกว่า “ร้อยบาท” เจาะกลุ่มเป้าหมาย มีแบรนด์ SRICHAND BABY เช่น แป้ง ผลิตภัณฑ์อาบน้ำเอาใจคุณหนูๆ แบรนด์ HYPE! กับผลิตภัณฑ์โฟมล้างมือ แฮนด์ครีม ฯ
รวมถึงแบรนด์ “เซเลนี” (SELENE) ลุยตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนบุคคล เช่น เจลอาบน้ำกลิ่นน้ำหอม และโลชั่นบำรุงผิว ฯ รวมถึงการสร้างแพลตฟอร์มชอปปิงออนไลน์ “1948beauty” เพื่อจำหน่ายสินค้าในเครือและกระจายความเสี่ยงการพึ่งพาแพลตฟอร์มออนไลน์อื่นๆ
“โควิดทำให้ผู้บริโภครักสุขภาพ เข้าใจการดูแลสุขภาพมากขึ้น ชีวิตจะมีความสุขไม่ได้ หากสุขภาพไม่แข็งแรง ประกอบกับเทรนด์ผู้สูงอายุ และเป็นคนมีกำลังซื้อสูงมาก ทำให้สินค้าสุขภาพมีศักยภาพในการเติบโตสูง”
ปีหน้าบริษัทจะคิกออฟสินค้าสุขภาพรายการแรกเข้าสู่ตลาด หากผลตอบรับดีต้องการผลักดันยอดขายให้มีสัดส่วน 50% จากปัจจุบันยังไม่เริ่ม และศรีจันทร์เป็นสินค้าพอร์ตใหญ่ทำเงิน 60% ตามด้วย SASI 30% และ เซเลนี 10%
รวิศ กล่าวอีกว่า บริษัทยังวางแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อระดมทุนขยายธุรกิจ โดยเฉพาะการสร้างโรงงานผลิตสินค้า ซึ่งหลังจากวิกฤติโควิด-19 สร้างผลกระทบต่อซัพพลายเชนครั้งใหญ่และปัจจุบันยังแก้ปัญหาไม่จบ อย่างไรก็ตาม การจ้างผลิตสินค้า(โออีเอ็ม) ไม่ได้มีปัจจัยลบแต่อย่างใด แต่การพิจารณามีโรงงานของตัวเอง เป็นการเอื้อต่อการบริหารจัดการผลิตสินค้าให้มีประสิทธิภาพในห้วงเวลาวิกฤติ
สำหรับการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทมองรายได้ที่ระดับ 1,500 ล้านบาท โดยจากนี้ไปจะสร้างการเติบโต 40-50% ต่อปี จากปี 2564 ปิดยอดขายราว 500 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เพื่อผลักดันยอดขายให้ได้ 1,500 ล้านบาท จึงมุ่งสู่การเป็น “Beauty Solution” นำเสนอสินค้าดูแลผิวพรรณหรือสกินแคร์ตอบโจทย์ผู้บริโภค เนื่องจากตลาดสกินแคร์เป็นตลาดใหญ่กว่ากลุ่มสีสันหรือเมกอัพ ซึ่งตลาดรวมสินค้าความงามมูลค่ารวม 1.447 แสนล้านบาท กลุ่มสกินแคร์ครองสัดส่วน 57% ส่วนกลุ่มเมคอัพสัดส่วน 15% เท่านั้น
“ปีหน้าเราจะตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน และหากบริษัทมีรายได้ไม่ถึง 1,500 ล้านบาท ยังไม่อยากเข้าตลาดฯ ดังนั้นการหารายได้จากกลุ่มสกินแคร์ หากเราเติบโตได้เท่ากับกลุ่มสีสัน ถือเป็นการโตแบบเท่าตัวแล้ว อย่างไรก็ตาม เป้าหมายการเข้าตลาดฯ บริษัทยังมองการก้าวขึ้นเป็นผู้นำ 1 ใน 3 ของผู้เล่นตลาดสินค้าสุขภาพและความงามของเมืองไทยด้วย”