เสนาฯแก้เกมคนกู้ไม่ผ่านผุด"เช่าซื้อ" ขยายเซกเมนต์บน-ล่างรับกำลังซื้อ

นางเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์จำกัด (มหาชน)   กล่าวว่า สิ่งที่น่ากลัวในครึ่งปีหลัง"ไม่ใช่"ปัจจัยลบที่เห็นอยู่ แต่เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดที่อาจจะเกิดขึ้น ! แต่ว่าสิ่งที่เรารู้อยู่แล้วอย่างแนวโน้มดอกเบี้ยจะขึ้นในส่วนผู้ประกอบการรายใหญ่ได้เปรียบเมื่อซื้อเยอะได้ของราคาถูกกว่ารายกลางและรายเล็ก ส่วนเรื่องต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเป็นเรื่องยากที่คาดเดาได้ เพราะไม่แน่นอน

 ดังนั้นเสนาฯ ไม่ได้ตุนอะไรมากวิธีการแก้ปัญหาคือการหาซัพพลายเออร์เพิ่มขึ้นมากกว่า 1 ราย อาจ2-3รายเพื่อป้องกันปัญหาสต็อกสินค้า พร้อมทั้งได้ขยายเซกเมนต์ขึ้นและลงเพื่อรองรับความสามารถในการซื้อของลูกค้าในทุกกลุ่ม  สมมุติจากเดิมที่ลูกค้าเคยซื้อบ้านราคา 3-5 ล้านบาทลดลงมาเหลือ 2.5-3 ล้านบาทแทนเพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มเดิม หรือเซกเมนต์เดิมแต่ขยับขึ้นไปหน่อยเพื่อรองรับกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อ ท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้ แต่ในปีนี้กำลังซื้อไม้ได้หายไป ยิ่งเมื่อเกิดสถานการณ์แบบนี้ทำให้คนบางกลุ่มตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น 

ปัจจุบันแม้รายจ่ายเขาไม่มากขึ้นแต่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทำให้ความสามารถในการซื้อเขา"ลดลง"

ขณะเดียวกันนี้ เสนาฯ ยังได้ตั้งบริษัท Power Cash เปิดให้บริการ “เสนา เช่าซื้อ”เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ของคนซื้อบ้าน โมเดลเปลี่ยนการเช่ามาเป็นเจ้าของ จากปัญหาที่ลูกค้าถูกปฏิเสธสินเชื่อที่มีมากกว่า 30% สำหรับลูกค้าที่มีปัญหาเรื่องการยื่นกู้ ในกลุ่มลูกค้าฟรีแลนซ์  คนทำงานที่เพิ่งทำงานในกลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียม 
 

สำหรับแผนการทำตลาดครึ่งปีหลัง จะเปิดเพิ่มอีก 12 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 7,181 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 5 โครงการ และแนวสูง 7 โครงการ พร้อมปรับเป้ายอดขาย 6,636 ล้านบาท และเป้ายอดโอน 7,595 ล้านบาท ซึ่งแนวราบจะเปิดตัวทุกแบรนด์ เช่น เสนา วิลล์ ,เสนา พาร์ค วิลล์ , เสนา   วีว่า และเสนา เวล่า และแนวสูงไฟติ้งค์แบรนด์ “เสนาคิทท์“และ “เฟล็กซี่“โดยเดือนสิงหาคมเริ่มเปิดขาย 4 โครงการ แบ่งเป็นแนวราบ 2 โครงการและแนวสูง 2 โครงการ

โดย12 โครงการใหม่ จะเป็นโครงการร่วมทุน 7 โครงการคิดเป็นมูลค่ากว่า 4,067 ล้านบาท พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ บริษัท เสนา เจพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เน้นการพัฒนาอสังหาฯ แนวราบ พร้อมขยายโอกาสทางธุรกิจใหม่

ซึ่งบริษัทจะดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ “SENA Next” สู่การเติบโตอย่างยั่งยืนพร้อมทั้งขยายโอกาสสำหรับธุรกิจใหม่  ได้แก่

1. ธุรกิจบริการด้านการดูแลป้องกัน และฟื้นฟูสุขภาพ รองรับการเติบโตของสังคมผู้สูงอายุ ภายใต้บริษัท เอส เจ เฮลแคร์ จำกัด (SJ HEALTHCARE) จับมือกับ บริษัท ไอลดา เฮลธ์ แคร์ จำกัด ทีมแพทย์ผู้ชำนาญการลุยเนิร์สซิ่งโฮม สาขาแรกที่จรัญสนิทวงศ์ 

2. ธุรกิจให้เช่าคลังสินค้าพร้อมช่วยบริหารจัดการแบบครบวงจรภายใต้บริษัท เอส เค แอสเสท แมแนจเม้นท์ จำกัด จับมือกับพันธมิตรธุรกิจโลจิสติกส์ บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO พร้อมขยายธุรกิจแวร์เฮ้าส์และเซลฟ์ สโตเรจอย่างต่อเนื่อง
 

 3. บริษัท เอส ไฟแนนซ์เชียล เซอร์วิส ธุรกิจให้บริการ ICO (INITIAL COIN OFFERING) หรือการระดมทุนผ่านการเสนอขายโทเคนดิจิทัล (DIGITAL TOKEN) ซึ่งเป็นการนำทรัพย์ที่มีอยู่จริง เช่น อสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน รวมทั้งแผนการทำธุรกิจมาแปลงให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลและเปิดให้นักลงทุนที่สนใจเข้ามาลงทุน โดยต้องทำการซื้อ – ขายด้วยเงิน Cryptocurrency โดยร่วมกับ 2 พาร์ทเนอร์ คือ บริษัท เอไอเอ็ม รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด ผู้จัดการกองทุนทรัสต์อิสระรายแรกในประเทศไทย และบริษัท ไอคอน เฟรมเวิร์ค จำกัด

4. บริษัท เดอะ เซอร์วิส เรสซิเด้นท์ ดำเนินธุรกิจเพื่อเช่าและเพื่อการบริการ ซึ่งก่อให้เกิดรายได้สม่ำเสมอในระยะยาว ( Recurring Income)

โดยล่าสุดได้เซ็นต์สัญญาร่วมกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (BAM) และบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM เพื่อร่วมมือทางธุรกิจในการบริหารจัดการหนี้เสียสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ Non - Performing Loan : NPL และสินทรัพย์รอการขาย หรือบ้านมือสอง Non – Performing Asset :NPA