‘โอทีลด’ เงินในกระเป๋าหาย ประชาชนน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
ผลผลิตที่ลดลงต่อเนื่องส่งผลกระทบต่อชั่วโมงการทำงานของภาคการผลิตที่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องเช่นเดียวกันแต่ขณะนี้หลายธุรกิจได้ลดการทำงานล่วงเวลา หรือ โอทีลง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์หลังจากยอดขายลดลงต่อเนื่อง
ภาคการผลิตของประเทศไทยยังคงอยู่ในภาวะถดถอย โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) รายงานถึงสถานการณ์การผลิตที่ยังไม่ฟื้นตัวหลังจากข้อมูลล่าสุดสะท้อนจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2567 หดตัว 2.08% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอุตสาหกรรมหลักที่การผลิตลดลงต่อเนื่อง คือ การผลิตยานยนต์และชิ้นส่วน รวมถึงการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่น และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ลดลงมาก
ผลผลิตที่ลดลงต่อเนื่องส่งผลกระทบต่อชั่วโมงการทำงานของภาคการผลิตที่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องเช่นเดียวกัน โดยแรงงานภาคการผลิตจะมีรายได้จากการทำงานล่วงเวลา (โอที) แต่ขณะนี้หลายธุรกิจได้ลดการทำงานล่วงเวลาลง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์หลังจากยอดขายลดลงต่อเนื่องและล่าสุดในช่วง 6 เดือน แรกของปี 2567 มียอดขายรถยนต์ในประเทศ 308,027 คัน ลดลงจากปีก่อน 24.16% ทำให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ต้องลดเป้าหมายยอดผลิตรถยนต์ในประเทศลง 200,000 คัน
ผู้ผลิตขาดเอสเอ็มอีกำลังได้รับผลกระทบมาก เพราะคำสั่งซื้อที่ลดลงทำให้ต้องลดเวลาการผลิตลง ซึ่งเป็นประเด็นที่รัฐบาลควรหาทางช่วยเหลือผู้ประกอบการ โดยเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี รวมถึง พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่รับทราบข้อมูลดังกล่าวเป็นอย่างไรถึงสถานการณ์การจ้างงาน รวมถึงสถานการณ์การใช้ชั่วโมงการทำงานในภาคการผลิตที่มีทิศทางลดลงอย่างต่อเนื่อง
เมื่อผู้ประกอบการไม่สามารถบริหารธุรกิจให้รับมือกับคำสั่งซื้อที่ลดลงได้ จึงต้องลดชั่วโมงการทำงานที่จะส่งผลต่อรายได้ของแรงงาน และส่งผลต่อเนื่องถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่ประชาชนมีกำลังซื้อหดตัวลง รายได้ไม่พอ และภาวะหนี้ครัวเรือนในระดับสูง ซึ่งศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยประเมินทิศทางความเชื่อมั่นผู้บริโภคเป็นขาลง และยังไม่เห็นสัญญาณความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่จะฟื้นตัวในช่วง 1-2 เดือนนับจากนี้
รัฐบาลยังคงรอความหวังการเติมเงินให้กับประชาชนผ่านการแจกเงินดิจิทัล 450,000 ล้านบาท ที่จะเริ่มแจกได้ในเดือน ธ.ค.2567 จึงสรุปได้ว่านโยบายเงินดิจิทัลแทบจะไม่มีผลต่อเศรษฐกิจไทยปี 2567 และยังมีความกังวลถึงปัญหาระบบชำระเงินล่ม ดังนั้นสถานการณ์เงินในกระเป๋าประชาชนจึงน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะผลกระทบต่อนายจ้างทั้งสภาพคล่องและการเข้าถึงสินเชื่อไม่ได้รับการแก้ไข ในขณะที่ปัญหาเชิงโครงสร้างและปัญหาเฉพาะด้านเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน สถานการณ์ของประชาชนจึงน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง