ม.หอการค้าไทย คาด จีดีพีไทยปี 68 ขยายตัว 3 %

ม.หอการค้าไทย คาด จีดีพีไทยปี 68 ขยายตัว 3 %

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย คาด จีดีพีไทยปี 68  ขยายตัว  3% จากปัจจัยหนุน การใช้จ่ายภาครัฐ การบริโภค ส่งออก ท่องเที่ยว ฟื้น จับตาปัจจัยเสี่ยงทั้งเศรษฐกิจโลกขยายตัวต่ำ หนี้สิน ปัญหาความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ และเสถียรภาพการเมืองไทย

 นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไทยในปี 2568 ไว้ที่ 3% โดยมีปัจจัยหนุนที่สำคัญจากการใช้จ่ายภาครัฐ การขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชน การส่งออก และการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อที่มีเสถียรภาพ

ทั้งนี้ คาดว่าการใช้จ่ายของภาครัฐ จะขยายตัวได้ 2.4% ส่วนการบริโภคภาคเอกชน ขยายตัว 3.1% ขณะที่มูลค่าการส่งออกของไทย (ในรูปของดอลลาร์สหรัฐ) จะขยายตัวได้ 2.5% ชะลอตัวลงจากปี 67 เนื่องจากผลของฐานที่สูงในปีนี้ ด้านการท่องเที่ยว ประเมินว่าจะมียอดนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยแตะ 40 ล้านคน อัตราเงินเฟ้อทั่วไป อยู่ที่ 1.2%

ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในช่วง 1.75-2.25% โดยมองว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสจะปรับลดดอกเบี้ยในปีหน้าลงได้อีก 1-2 ครั้ง ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยน อยู่ในช่วง 34.50-35.50 บาทต่อดอลลาร์ หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 35 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับปี 2568   เศรษฐกิจไทยยังมีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่ ความเสี่ยงจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลก และปริมาณการค้าโลกที่จะขยายตัวได้ต่ำกว่าคาด, ภาระหนี้สินของครัวและภาคธุรกิจยังอยู่ในระดับสูง, ความเสี่ยงจากความผันผวนในภาคการเกษตร, ความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า  ปัจจุบันค่อนข้างเป็นห่วงเศรษฐกิจไทย แม้เศรษฐกิจไทยปีหน้า GDP จะโต 3% แต่ประเด็นสำคัญคือทำอย่างไร ให้คนทั้งโลกเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะโตได้ 4% - 5% ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในขณะที่ IMF ยังมองว่าใน 5 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจไทยยังเติบโตอยู่ในระดับ 3%

หากไทยไม่มีการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ในอนาคต GDP ไทยโตไม่ถึง 3% และอาจจะโดนประเทศอื่นในอาเซียนแซงหน้า และเราอาจจะร่วงจากอันดับ 2 ของอาเซียน ลงมาอยู่อันดับ 5 อันดับ 6 ดังนั้น รัฐบาลต้องเร่งพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้อย่างโดดเด่น

นอกจากนี้ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ยังประเมินขนาดของผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในแต่ละมาตรการ ที่จะมีต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2568 โดยรวมแล้ว 1.65 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นผลต่อจีดีพี ที่ 0.93% แยกเป็น มาตรการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 กลุ่ม ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจราว 3.56 หมื่นล้านบาท ส่งผลต่อจีดีพี 0.20 %

อย่างไรก็ตามมาตรการแจกเงิน 10,000 บาทในเฟส 2 ซึ่งคาดว่าจะได้รับก่อนตรุษจีนปี 68 นั้น ไม่ใช่ตัวหลักที่จะช่วยขับกระตุ้นเศรษฐกิจในปีหน้า แต่ตัวหลักคือมาตรการที่จะออกมาช่วยแก้หนี้ครัวเรือน และการปรับโครงสร้างหนี้ ดังนั้นหากรัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจและการจับจ่ายใช้สอย ก็อาจจะทำมาตรการในรูปแบบของ Easy e-receipt

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ในปีหน้าจะต้องติดตามสถานการณ์การเมืองในประเทศ หลังจากเริ่มเห็นการหยิบยกประเด็นหรือความกังวลที่อาจจะมีผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลว่าจะอยู่ครบ 4 ปีหรือไม่ เช่น MOU 44 การยื่นฟ้องศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นต่าง ๆ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ อาจมีผลให้มีการออกมาชุมนุมประท้วงได้ และคำวินิจฉัยของศาลอาจมีความสุ่มเสี่ยงต่อพรรคร่วมรัฐบาล และเสถียรภาพของรัฐบาล

ที่สำคัญหากมีการยุบสภาก่อนการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 จนทำให้ไม่สามารถใช้งบประมาณได้อย่างปกติเศรษฐกิจไทยปี 69 ที่คาดว่าจะโต 3% อาจจะต่ำกว่า 3 %