เปิดมุมมอง IMF ต่อไทย แนะ 'ลดดอกเบี้ยเพิ่ม' รับความเสี่ยงขาลง

IMF แนะแบงก์ชาติ 'ลดดอกเบี้ยเพิ่ม' รับความเสี่ยงขาลงของประเทศ ชี้เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว แต่ในอัตราช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน
คณะกรรมการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยผลการประชุมหารือกับประเทศไทยประจำปี 2567 หรือ Article IV Consultation โดยมีรายละเอียด ดังนี้
"เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ในอัตราที่ช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน" กิจกรรมทางเศรษฐกิจขยายตัวได้ปานกลาง 1.9% ในปี 2566 และ 2.3% ในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2567 ซึ่งขับเคลื่อนโดยการเติบโตของการบริโภคภาคเอกชนและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 0.4% ในปี 2567 ซึ่งต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ 1- 3% ปัจจัยภายนอก เช่น ราคาพลังงาน และอาหารทั่วโลกที่ลดลง รวมถึงราคาสินค้านำเข้าที่ลดลงมีส่วนช่วย แต่ปัจจัยในประเทศ เช่น การอุดหนุนราคาพลังงาน การควบคุมราคา และการยกเลิกมาตรการช่วยเหลือทางการเงินจากการระบาดของโควิด ก็มีส่วนทำให้เงินเฟ้อลดลงเช่นกัน
ดุลบัญชีเดินสะพัดแข็งแกร่งขึ้นเป็น 1.4% ของจีดีพี GDP ในปี 2566 จากที่เคยติดลบ 3.5% ในปี 2565 และยังคงมีดุลบัญชีเกินดุลปานกลางจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2567 โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของการท่องเที่ยว และการส่งออกที่เพิ่มขึ้น
การฟื้นตัวตามวัฏจักรแบบค่อยเป็นค่อยไปคาดว่าจะดำเนินต่อไป โดย IMF คาดว่าจีดีพีที่แท้จริงของไทยจะเติบโต 2.7% ในปี 2567 และเพิ่มขึ้นเป็น 2.9% ในปี 2568 จากการใช้นโยบายการคลังแบบขยายตัวในงบประมาณปี 2568 ซึ่งรวมถึงมาตรการแจกเงินเพิ่มเติมอีก 1.0% ของจีดีพี และการฟื้นตัวของการลงทุนภาครัฐ ส่วนภาคที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวคาดว่าจะยังคงสนับสนุนการเติบโตเช่นกัน รวมถึงการบริโภคภาคเอกชนที่จะได้รับอานิสงส์จากมาตรการแจกเงินของรัฐ
ทั้งนี้เนื่องจากการเติบโตที่ยังคงแข็งแกร่ง คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะฟื้นตัวขึ้น แต่ยังคงอยู่ในครึ่งล่างของกรอบเป้าหมายในปี 2568 ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นต่อทั้งในปี 2567 และ 2568 จากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือน
IMF ประเมินว่า "แนวโน้มเศรษฐกิจไทยเป็นความเสี่ยงขาลง" โดยในด้านปัจจัยภายนอกนั้น ความตึงเครียดด้านการค้าโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้นหรือการแตกแยกทางภูมิเศรษฐกิจในระดับที่ลึกขึ้น อาจขัดขวางการฟื้นตัวของการส่งออกของไทย และส่งผลให้การไหลเข้าของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ลดลง ในขณะที่ความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโต และนำไปสู่อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น และอาจส่งผลให้สภาพการเงินโลกตึงตัวเป็นเวลานานขึ้น ความขัดแย้งระหว่างภูมิภาคที่ทวีความรุนแรงขึ้นอาจกระทบต่อการค้า และการเดินทาง ขณะที่สภาพอากาศที่รุนแรงบ่อยครั้งขึ้นอาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อแนวโน้มการเติบโต
ส่วนปัจจัยในประเทศนั้น "ความเสี่ยงจากหนี้ภาคเอกชนที่พุ่งสูงอาจส่งผลกระทบต่องบดุลของสถาบันการเงิน และลดอุปทานสินเชื่อลงอีก ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ ขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เกิดขึ้นใหม่ อาจขัดขวางการดำเนินนโยบาย และบั่นทอนความเชื่อมั่น"
ในการสรุปการปรึกษาหารือตามมาตรา 4 กับประเทศไทยประจำปี 2567 คณะกรรมการบริหารของไอเอ็มเอฟ ได้ให้การรับรองการประเมินของเจ้าหน้าที่ ดังนี้:
"การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยยังคงดำเนินต่อไป แต่ค่อนข้างช้า และไม่สม่ำเสมอ" กิจกรรมทางเศรษฐกิจขยายตัวเล็กน้อยในปี 2567 ซึ่งขับเคลื่อนโดยการบริโภคภาคเอกชน และการฟื้นตัวของกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ในขณะที่การดำเนินการตามงบประมาณที่ล่าช้าทำให้การลงทุนของภาครัฐชะลอตัวลง "การฟื้นตัวที่ช้าเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนยังมีพื้นฐานมาจากจุดอ่อนเชิงโครงสร้างที่มีมาอย่างยาวนานของไทย" ในขณะที่ปัจจัยเสี่ยงภายนอก และภายในประเทศที่เกิดขึ้นใหม่ยังส่งผลให้เงินเฟ้อลดลงอีกด้วย แนวโน้มของประเทศไทยจึงยังมีความไม่แน่นอนอย่างมากพร้อมความเสี่ยงด้านลบที่สำคัญ
เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัวลงจึงควรปรับโฟกัสใหม่ไปที่การสร้างพื้นที่ทางการคลังใหม่ แม้จะใช้นโยบายการคลังแบบขยายตัวน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ในงบประมาณปี 2568 แต่ก็จะยังช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้ และช่วยรักษาพื้นที่ทางนโยบายเอาไว้ ส่วนการจัดสรรงบประมาณใหม่จากนโยบายแจกเงินหมื่นไปสู่การลงทุนที่ช่วยเพิ่มผลิตภาพหรือการคุ้มครองทางสังคม จะช่วยให้เกิดการเติบโตที่ครอบคลุมมากขึ้น และลดสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีลง ทั้งนี้ เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2569 เป็นต้นไป จำเป็นต้องมีการปรับใช้นโยบายการคลังแบบสมดุลในระยะปานกลางตามรายได้ เพื่อช่วยลดหนี้สาธารณะ และสร้างกันชนทางการคลังขึ้นใหม่
ประเทศไทยสามารถปรับ "กรอบวินัยทางการคลัง" ให้แข็งแกร่งได้มากกว่านี้ ซึ่งจะต้องมีการปรับปรุงกฎระเบียบทางการคลังเพื่อสนับสนุนเป้าหมายการควบคุมระดับหนี้ให้ดีขึ้น ผ่านการนำแนวทางกฎเกณฑ์ตามความเสี่ยงมาใช้ ควรคำนึงถึงต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับมาตรการกึ่งการคลัง เช่น การตรึงราคาพลังงาน ควรถูกกำหนดอย่างเหมาะสม และควรติดตามความเสี่ยงทางการคลังอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ การปรับปรุงการให้ข้อมูลทางสถิติด้านการเงินการคลังของรัฐบาล และรัฐวิสาหกิจก็เป็นสิ่งสำคัญ
IMF ยินดีกับการตัดสินใจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนตุลาคม 2567 และแนะนำให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนเงินเฟ้อ รวมถึงช่วยให้ความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ดีขึ้น โดยมีความเสี่ยงต่อการก่อหนี้เพิ่มเติมอย่างจำกัดท่ามกลางภาวะสินเชื่อตึงตัว
ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ยังคงอยู่ในแนวโน้มเศรษฐกิจ ภาครัฐควรเตรียมความพร้อมในการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินตามข้อมูล และแนวโน้มเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ การรักษาความเป็นอิสระของธนาคารกลางควบคู่กับการสื่อสารที่ชัดเจนเกี่ยวกับการดำเนินนโยบาย ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาความน่าเชื่อถือ และประสิทธิภาพของนโยบายการเงินในการกำหนดกรอบเงินเฟ้อ
การประสานงานที่มีประสิทธิภาพระหว่างเครื่องมือนโยบายต่างๆ ที่รองรับด้วยกันชนทางเศรษฐกิจที่เพียงพอ ถือเป็นสิ่งจำเป็นในการบริหารความเสี่ยงจากสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ อัตราแลกเปลี่ยนแบบยืดหยุ่นควรยังคงทำหน้าที่เป็นตัวดูดซับแรงกระแทกทางเศรษฐกิจต่อไป ขณะเดียวกัน การใช้นโยบายแทรกแซงตลาดอัตราแลกเปลี่ยน (FXI) ควบคู่กันอาจช่วยลดการ trade-offs นโยบายลง
นอกจากนี้ การเปิดเสรีระบบอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม และการทยอยยกเลิกมาตรการควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้ายที่ยังเหลืออยู่ จะช่วยให้ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนมีความเข้มแข็งมากขึ้น และลดความจำเป็นในการใช้ FXI ในระยะยาว
จำเป็นต้องมีการใช้มาตรการกำกับดูแล และกฎหมายที่ครอบคลุมเพื่อสนับสนุนกระบวนการ "ลดภาระหนี้ภาคเอกชนอย่างเป็นระบบ" IMF ขอชื่นชมมาตรการที่ไทยได้ดำเนินการไปแล้วเพื่อจัดการกับภาระหนี้ครัวเรือนที่มีอยู่ รวมถึงการป้องกันการสะสมของหนี้ใหม่ อย่างไรก็ตาม การดำเนินมาตรการแก้ปัญหาหนี้ส่วนบุคคลอย่างจริงจังและพร้อมกันผ่านกระบวนการล้มละลายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการลดภาระหนี้ครัวเรือนที่มีอยู่ในปัจจุบัน
สถานะภายนอกในปี 2567 แข็งแกร่งกว่าที่ปัจจัยพื้นฐาน และการกำหนดนโยบายที่พึงประสงค์รับประกันเล็กน้อย นโยบายที่มุ่งเน้นส่งเสริมการลงทุน เสริมสร้างระบบความปลอดภัยทางสังคม การเปิดเสรีภาคบริการ และลดแรงจูงใจทางภาษี และเงินอุดหนุนที่บิดเบือนการแข่งขัน จะช่วยให้เกิดการปรับสมดุลภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สุดท้ายนี้ IMF มองว่า "การปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง" เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อยกระดับผลิตภาพ และขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย โดยลำดับความสำคัญของการปฏิรูปควรครอบคลุมถึงด้านต่างๆ อาทิ
- การส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน และการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจ
- การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ และดิจิทัล
- การพัฒนาทักษะ และเสริมทักษะใหม่ให้แก่แรงงาน
- การยกระดับความซับซ้อนของการส่งออกผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
- การเสริมความแข็งแกร่งของธรรมาภิบาล
นอกจากนี้ การจัดให้มีระบบคุ้มครองทางสังคมที่เพียงพอสำหรับครัวเรือนที่เปราะบาง อาจช่วยเพิ่มความสามารถในการรับมือกับแรงกระแทกทางเศรษฐกิจ และแก้ไขปัจจัยเชิงโครงสร้างที่นำไปสู่การสะสมหนี้ครัวเรือน
ที่มา: IMF
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์