'ไมเนอร์'ทุ่ม1.2พันล.ลุยธุรกิจอาหารในจีน

ไมเนอร์ฟู้ด ทุ่ม 1.2 พันล้าน ซื้อหุ้นภัตตาคารริเวอร์ไซด์ในจีน ตั้งเป้าขยายสาขาปีนี้ 22 แห่ง เจาะกำลังซื้อใหม่ชนชั้นกลาง
นายพอล เคนนี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทแม่ ได้เข้าซื้อหุ้นภัตตาคาร ริเวอร์ไซด์ คอร์ทยาร์ด (Riverside & Courtyard) ประเทศจีน มูลค่า 1,200 ล้านบาท ช่วงปลายเดือน ธ.ค.2555 ที่ผ่านมา เนื่องจากมองว่าเป็นตลาดที่กำลังเติบโต ขณะที่ร้านอาหาร ริเวอร์ไซด์ คอร์ทยาร์ด ซึ่งเป็นเชนภัตตาคาร ประเภท Casual Dining ชื่อดังในประเทศจีน มีจุดแข็งคือความแตกต่างในอาหารจานปลาเสฉวนบาร์บีคิว
"จีนมีโอกาสสูงมาก เนื่องจากคนระดับกลางเติบโตอย่างรวดเร็ว มีความสามารถในการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งการลงทุนธุรกิจอาหารเป็นการเพิ่มความหลากหลาย และเพิ่มจำนวนร้านอาหารเป็น 2 เท่าในอนาคต"
การลงทุนครั้งนี้ นับเป็นจุดเปลี่ยนของธุรกิจอาหารของไมเนอร์ฟู้ดในจีน ทั้งในแง่การดำเนินงานและการเงิน และยังก้าวสำคัญในการเพิ่มความเข้มแข็งให้แก่ธุรกิจไมเนอร์ฟู้ดสำหรับรองรับแผนขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ๆ และรักษาความเป็นผู้นำธุรกิจอาหารในระดับท็อป 5 ของเอเชีย
ไมเนอร์ฟู้ด เริ่มต้นลงทุนในจีนตั้งแต่ปี 2548 ปัจจุบันมีสาขาร้านอาหารแบบฟาสต์ฟู้ด 19 แห่งจาก 4 แบรนด์หลัก คือ เดอะพิซซ่า คอมปะนี, ซิซซ์เลอร์, ไทยเอ็กซ์เพรส และเดอะคอฟฟี่ คลับ
บริษัทตั้งเป้าขยายธุรกิจร้านอาหารในจีนภายในสิ้นปีนี้ 22 สาขา และภายในปี 2558 จะเพิ่มเป็น 48 สาขา คาดว่ามีรายได้ 1,200 ล้านบาทภายในปีนี้ ส่วนรายได้รวมคาดว่าจะมีมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 15-20% จากการขยายสาขาทั่วโลกเพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าขยายปีละ 8-10%
นอกจากธุรกิจอาหารแล้ว ไมเนอร์ กรุ๊ป ยังดำเนินธุรกิจเป็นผู้บริหารโรงแรมหรู อนันตรา ซานย่า รีสอร์ท แอนด์ สปา และสปาอีก 7 แห่งด้วย
แผน5ปี ลงทุน1.5หมื่นล้าน
ไมเนอร์ฟู้ด เป็นบริษัทลูกในกลุ่ม บริษัท ไมเนอร์ อินเตอรเนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ดำเนินธุรกิจในธุรกิจ 3 ขาหลัก คือ ร้านอาหาร ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่น ปัจจุบันไมเนอร์ เป็นผู้นำในธุรกิจอาหารขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย มีร้านอาหารกว่า 1,300 สาขาใน 18 ประเทศ จาก 7 แบรนด์ คือ เดอะพิซซ่า คอมปะนี สเวนเซ่นส์ ซิซซ์เลอร์ แดรี่ควีน เบอร์เกอร์คิง ไทยเอ็กซ์เพรส เดอะคอฟฟี่ คลับ และริบส์ แอนด์ รัมส์ มีฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งในไทย สิงคโปร์ อินเดีย ตะวันออกกลาง โดยเป้าหมายก้าวต่อไปในประเทศจีนและอินโดนีเซีย โดยอาศัยเครือข่ายธุรกิจในหลายๆ ประเทศ
ไมเนอร์วางงบการลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้าไว้ 1.5 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจอาหารและโรงแรมเป็น 2,500 สาขาทั่วโลก และตั้งเป้ากำไรเติบโตปีละ 15-20%
ทั้งนี้สำหรับการซื้อ ริเวอร์ไซด์ คอร์ทยาร์ด ครั้งนี้ ดำเนินการโดยบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) MINT ได้แจ้งการลงทุนในบริษัท Over Success Enterprise Pte. Ltd. โดย ไมเนอร์ฟู้ด กรุ๊ป อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง (สิงคโปร์) หรือ MFGIH ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ถือหุ้นร้อยละ 100 โดยบริษัท Primacy Investment Limited (‘Primacy’) ที่เป็นบริษัทย่อยของบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
บริษัทลูกดังกล่าว ไมเนอร์ฟู้ด ถือหุ้น 99.72% โดย MFGIH มีทุนจดทะเบียน 1,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ ปัจจุบันได้เพิ่มทุนโดย Primacy อีกกว่า 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.2 พันล้านบาท โดยเข้าลงทุนในบริษัทย่อยในประเทศจีน ที่ดำเนินธุรกิจ ริเวอร์ไซด์ คอร์ดยาร์ด โดยเป็นการเข้าซื้อหุ้นสามัญจำนวน 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1 ดอลลาร์สิงคโปร์ ใน Over Success Enterprise ซึ่งดำเนินธุรกิจร้านอาหารดังกล่าว โดยซื้อมาจาก Holy Success Group Ltd (‘HSG’) ทำให้ล่าสุด ไมเนอร์ฟู้ดกรุ๊ปอินเตอร์เนชั่นแนล ถือหุ้นใน Over Success Enmterprise 49% และ HSG ถือ 51%
ปีทองขยายธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม
ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า การขยายธุรกิจในจีน เป็นแนวโน้มที่กลุ่มธุรกิจโรงแรมจะต้องดำเนินการอยู่แล้ว และข่าวดังกล่าวก็เป็นการยืนยันการขยายธุรกิจของบริษัทซึ่งก็น่าจะได้รับผลดี ขณะเดียวกันราคาหุ้นก็มีการตอบรับแล้ว
"ช่วง 1-2 ปีนี้ ถือว่าเป็นปีทองของการขยายธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม โดยจะเห็นการขยายออกไปยังต่างประเทศมากขึ้น ทำให้นักลงทุนสามารถใช้จังหวะนี้เข้าเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มดังกล่าวได้ในระยะสั้นๆ"
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่าฝ่ายวิจัยได้แนะนำซื้อหุ้น เนื่องจากกระแสการเติบโตของกลุ่มท่องเที่ยว โดยได้ประโยชน์สูงสุดจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยว ซึ่งธุรกิจร้านอาหาร เติบโตมั่นคงด้วยแนวโน้มการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตแข็งแกร่ง
"ธุรกิจโรงแรมและกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องของบริษัทไมเนอร์ฯ จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น คาดว่ารายได้จากธุรกิจโรงแรมจะขยายตัว 14% ในปี 2556 โดยได้แรงหนุนจากอัตราราคาห้องพักเฉลี่ยต่อวัน ที่เพิ่มขึ้น 5% และการเพิ่มขึ้นของอัตราการเข้าพัก ที่เพิ่มเป็น 74% ซึ่งส่งผลให้อัตราเฉลี่ยของรายได้ต่อจำนวนห้องหักเพิ่มขึ้นถึง 7.4%"
ทั้งนี้ในส่วนของธุรกิจร้านอาหารที่เติบโตอย่างมั่นคงจะมีส่วนช่วยผลักดันรายได้รวมกลุ่มมาก โดยการเติบโตมาจากสาขาเดิม 5% และการขยายสาขา 8% ตลอดจนรายได้จากการขายที่ดินที่แข็งแกร่ง จึงคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักของบริษัทไมเนอร์จะเติบโตก้าวกระโดด 23% เป็น 3,900 ล้านบาท ในปี 2556
ไมเนอร์อินเตอร์ จะยังคงหาโอกาสในการเข้าซื้อธุรกิจอาหารและธุรกิจโรงแรมอย่างต่อเนื่อง โดยการขยายธุรกิจผ่านรูปแบบแฟนไชส์และสัญญาการบริหารจัดการ เพื่อให้งบลงทุน มีความยืดหยุ่นมากที่สุด
นอกจากนี้ บริษัทฯ จะเปิดตัวโครงการในธุรกิจที่ดินอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะสร้างกระแสรายได้ให้มั่นคงด้วยอัตรากำไรที่สูงขึ้น และราคาเป้าหมายพิจารณาด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสด อยู่ที่ 26.50 บาท หุ้นไมเนอร์ (MINT) เป็นหนึ่งในหุ้นหลักที่เราเลือกลงทุนในกลุ่มบริโภคและกลุ่มท่องเที่ยว จากการที่มีการเติบโตที่โดดเด่น, การขยายตัวของกำไรที่ชัดเจน,แผนการขยายสาขาที่น่าสนใจ และมีฐานรายได้จากธุรกิจที่หลากหลาย
การเคลื่อนไหวราคาหุ้นในรอบปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 75%จากราคา 11.20 บาท เป็น 19.60 บาท โดยราคาเคยปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ 20.70 บาท และต่ำสุดที่ 11.10 บาท