ผลิตอย่างไรให้มี 'พลวัต'

จุดตายของธุรกิจ ก็คือการใช้ทรัพยากรอย่างไม่คุ้มค่า กลายเป็นเศษ กลายเป็นเหลือ ซึ่งมันหมายถึงกำไร
โลกในยุคที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นอะไรที่ความยอมรับได้ยาก ในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธมันได้ยากเช่นเดียวกัน แต่ใครเลยจะรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นเหมือนยาขม คือ ยิ่งเปลี่ยนยิ่งดี
เกษมพัฒน์ พานิชลือชาชัย วิทยากรที่ปรึกษา สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ เป็นอีกคนหนึ่งที่เชื่ออย่างนั้น และก็ยืนยันว่า ในการบริหารการผลิตในโลกทุกวันนี้ควรเป็นไปแบบพลวัต (Dynamic Production Management:DPM)
"สำหรับผมแล้วคำว่า Dynamic กับ change มีความหมายว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน แต่ต่างกันตรงความเร็ว ถ้าเปรียบว่า change มีความเร็วสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง Dynamic จะต้องเร็วมากกว่าเป็นยี่สิบหรือสามสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง"
สำหรับเขาแล้ว Dynamic หรือพลวัต ก็คือวิถีของผู้นำที่มักชิงลงมือเปลี่ยนแปลงก่อน ลุยก่อน และเร็วกว่าคนอื่น ดังนั้น Dynamic จึงไม่ต่างกับคำว่า Innovation หรือ นวัตกรรมแต่อย่างไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกการผลิตในเวลานี้ไม่ง่ายเหมือนอย่างเคย
"เราจะหยุดนิ่งไม่ได้ เพราะคำว่าทรงตัว หรือธุรกิจจะดีอยู่อย่างนี้ ไม่มีตลอดไป ดูกรณีเกิดน้ำท่วม ถามว่ามันเกิดขึ้นบ่อยหรือเปล่า ก็ไม่บ่อย ผ่านไปห้าปีก็ไม่เห็นมา แต่พอสิบปีมันก็มา"
ความสุขจากความสำเร็จอยู่ได้ไม่คงทน ยาวนาน มักมีความท้าทายนานับประการเกิดขึ้นระหว่างทางเสมอ
แล้วพลวัตเกิดขึ้นได้อย่างไร
เกษมพัฒน์บอกว่าเกิดจากสามเรื่อง ได้แก่ 1. ระบบ 2.กระบวนการแก้ไขปัญหา และ 3. การปรับปรุุงอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งทั้งสามเรื่องจะต้องเริ่มต้นด้วย "เป้าหมาย" ว่าทำไปเพื่ออะไร อยู่เสมอ
"การทำตามระบบก็เพื่อให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ส่วนการแก้ปัญหาเองก็ต้องมีระบบเหมือนกัน และในเวลาของปรับปรุงก็ต้องมีระบบ เมื่อเกิดปัญหาก็ต้องแก้ มันเป็นวงจรอย่างนี้ หากไม่เข้าใจที่สุดจะกลายเป็นการถอยหลัง"
เขาได้ฝากข้อคิดเตือนใจว่า ระบบนั้นไม่ได้มีไว้แบก แต่มีไว้ให้ทำตาม ระบบไม่ได้ภาระแต่เป็นพาหนะ ที่นำไปสู่ความสำเร็จได้รวดเร็วกว่าและดีกว่า
จากประสบการณ์ในการเป็นที่ปรึกษาเขายกตัวอย่างว่า มีบางโรงงานเต็มไปด้วยป้ายมาตรฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ISO GMP HACCP ฯลฯ แต่ที่สุดมาตรฐานเหล่านี้กลับไม่ช่วยอะไร เพราะในระบบการผลิตนั้นเต็มไปด้วยความสูญเสีย
" จุดตายของธุรกิจ ก็คือการใช้ทรัพยากรอย่างไม่คุ้มค่า กลายเป็นเศษ กลายเป็นเหลือ ซึ่งมันหมายถึงกำไร ถ้าเราใส่ไปร้อยบาทแต่เสียห้าบาทตลอดขณะที่คนอื่นเสียแค่สองบาท เขาก็จะได้กำไรที่มากกว่า"
ส่วนการแก้ไขปัญหา ถือว่าเป็นทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เลยทีเดียว
เกษมพัฒน์บอกว่า มีหนังสือเล่มหนึ่งได้ตั้งโจทย์ไว้ว่า ในศตวรรษที่ 21อะไรคือทักษะที่สำคัญที่สุด และคำตอบก็คือ ทักษะการแก้ปัญหานั่นเอง
"ในการแก้ปัญหาสิ่งที่ติดตามมาก็คือ ทักษะการคิด และการลงมือทำที่เป็นระบบ ด้วยการเชื่อมโยงเหตุผลต่างๆ เข้ากันอย่างบูรณาการ"
ประเด็นสำคัญ ต้องไม่ลืมว่าในการแก้ปัญหาทุกครั้งต้องมองไปที่เป้าหมายตลอดเวลา คือต้องแก้ปัญหาเพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมาย
และข้อคิดดีๆ ซึ่งเป็นสุภาษิตของฑิเบตที่เขาฝากไว้เกี่ยวกับเรื่องปัญหาก็คือ ปัญหาไม่ได้มีไว้กลุ้ม แต่มีไว้ให้แก้ ปัญหาถ้าแก้ได้จะกลุ้มไปทำไม ปัญหาถ้าแก้ไม่ได้ก็จะกลุ้มไปทำไม ทำได้ก็ลงมือทำ ถ้าแก้ไม่ได้ก็ไม่ เห็นเป็นอะไร ปัญหานั้นไม่ได้มีไว้ให้เครียด แต่มีไว้ให้คิด แต่อย่าคิดจนเครียด
ขณะที่การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง นั้นจะให้สำเร็จต้องอาศัย วงจรที่ชื่อ Deming Cycle ประกอบไปด้วย PDCA
P(Plan) คือ การวางแผน D(Do) คือ การปฏิบัติตามแผน C(Check)คือการตรวจสอบผลการปฏิบัติ และ A (Act) คือ การแก้ไขปัญหา
"คนมักสับสนในเรื่องการคิด กับการวางแผน เรื่องการผลิตถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ต้องเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก และมีต้นทุนสูง จะคิดอย่างเดียวไม่ได้ต้องมีการวางแผนเพื่อไปให้ถึงเป้า"
เขาบอกว่า การวางแผนก็คือหนทางนำไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ และยกตัวอย่าง มหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกเช่นฮาร์วาร์ด บอสตัน มีการทำสำรวจนักศึกษาที่เรียนจบเพื่อให้รู้ว่าเส้นทางสายอาชีพของพวกเขาเหล่านั้นเติบโตอย่างไร โดยมีการแบ่งเด็กออกเป็นสามกลุ่ม โดยกลุ่มแรกนั้น เป็นกลุ่มเด็กที่ไม่ได้คิดหรือวางแผน ไม่คิดหางาน แต่รอและเลือกงานที่นำเสนอผลตอบแทนที่น่าพอใจที่สุด ส่วนกลุ่มที่สองเป็นกลุ่มที่เมื่อเรียนจบแล้วก็ไปทำงานที่ชอบ และกลุ่มสุดท้ายเป็นกลุ่มที่มีการวางแผน กำหนดลำดับขั้นการเติบโตของชีวิตการทำงานไว้อย่างชัดเจน
ผลลัพธ์ก็คือ ในเวลาสิบปี เด็กกลุ่มที่วางแผนชีวิตไว้อย่างชัดเจนมีการเติบโตในหน้าที่การงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของรายรับมากกว่าเด็กสองกลุ่มแรกหลายเท่าตัว
อย่างไรก็ดี ความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับวินัย ความมุ่งมั่น และมีเป้าหมายที่ชัดเจนด้วย
รวมทั้ง ความสำเร็จจำเป็นต้องมี "ตัววัด"
วัดในเรื่องใดบ้าง เกษมพัฒน์บอกว่าหลักๆ มีอยู่สามด้าน คือ ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และผลิตภาพ
" คนมักสับสนว่าอะไรคือประสิทธิภาพ อะไรคือประสิทธิผล ยกตัวอย่างเช่น การวัดยอดขาย ซึ่งต้องดูว่ายอดขายที่ได้จริงและยอดขายที่คาดหวังเป็นไปตามความต้องการหรือไม่ เป็นการวัดประสิทธิผล ยอดขายนั้นคือผลลัพธ์ของการผลิตและการขาย และไม่เพียงแค่นั้น จะต้องวัดความพึงพอใจด้วย เช่นหากต้องการยอดขายพันล้านแต่ต้องใช้เงินลงทุนไปเก้าร้อยกว่าล้านก็คงไม่ใช่ความพึงพอใจ ดังนั้นวัดประสิทธิผลอย่างเดียวไม่พอ ต้องวัดประสิทธิภาพ ซึ่งหมายถึงการใช้ทรัพยากรต่างๆ เข้าไปด้วย"
แต่สูตรสำเร็จจะเกิดขึ้นได้นั้นต้องไปบรรจบกันที่การวัดผลิตภาพ หมายถึง เอาผลจริงที่ได้มาหารด้วยสิ่งที่ใช้ไป เพื่อเทียบว่าคุ้มค่าหรือไม่
เกษมพัฒน์บอกว่าความรู้ กระบวนการที่พูดมาทั้งหมดสร้างพลวัตในการผลิตได้สำเร็จมาหลายยุคสมัย เขามองว่าความรู้ที่ใช้ได้จะไม่มีวันตกยุค และจะไม่มีวันเก่าเลย
อย่างไรก็ดี หลักการที่ดี หรือระบบที่ยอดเยี่ยมจะไม่อาจเกิดขึ้นได้เลยหากปราศจากคน ซึ่งต้องเป็นคนที่มีความสุขด้วย
เขาแนะว่า ทุกธุรกิจอย่าลืมสร้างคน และต้องดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี โดยต้องตระหนักถึงคำว่า ส่วนร่วม ส่วนได้ ส่วนเสีย อยู่เสมอ