ไม้ตายกู้ชีพส่งออก ระดมทูตพาณิชย์ทั่วโลก สู้!!

แม้บาทอ่อน แต่ภาคส่งออกไม่อาจวางใจกับความแปรปรวนของเศรษฐกิจโลก 6 เดือนหลังจากนี้จึงมีความหมายยิ่งนักในการปั้นยอดส่งออก กับ 3 ท่าไม้ตาย
กว่า 70% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ยังคงพึ่งพารายการได้จากการส่งออก (Net Exports) หมายความว่า "ภาคการส่งออก" คือ "เสาหลักต้นใหญ่ที่สุด"ในการค้ำยันเศรษฐกิจประเทศไทย แม้ว่าจะมีความพยายามสร้างสมดุลในอีก "3 เสา" ได้แก่ การบริโภคภาคเอกชน Consumption(C) การลงทุนในธุรกิจของสินค้าทุน Investment (I) และการใช้จ่ายทั้งหมดของค่ารัฐ Government Spending (G) เพราะตระหนักดีว่าหากพึ่งพาการส่งออกมากเกินไป เมื่อเกิดความแปรปรวนของเศรษฐกิจโลก ที่ปัจจุบันเกิดขึ้นแรงและถี่ ก็พร้อมที่จะ "แลกหมัดตรง" กับเศรษฐกิจไทย
โดยเฉพาะประเด็นเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า ที่สะท้อนกำลังซื้อ และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน กลายเป็นอมตะนิรันดร์กาลของปัญหาส่งออกไทย ตราบที่ความพยายามในการปรับลดสัดส่วนการพึ่งพารายได้จากการส่งออก ยังไม่สัมฤทธิผล !!
ปีนี้เป็นอีกปีที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับวิบากกรรมส่งออก ต่อเนื่องจากปี 2555 ที่ภาพรวมส่งออกไทยเติบโตเพียง 3.1% มูลค่า 229,519 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่ำกว่าเป็นการขยายตัวที่ตั้งไว้ที่ 5% หลังเผชิญพิษเศรษฐกิจโลกผสมโรงกับผลกระทบน้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2554 โกลาหลมาถึงภาคการผลิตสินค้าส่งออกหลักของไทย อย่างเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ในปีนั้นขยายตัวเพียง 1.8% และกลุ่มสินค้าเครื่องไฟฟ้า ขยายตัวเพียง 2.6% ในปี 2555
มาถึงปีนี้ ช่วงต้นปีภาคส่งออกไทย ต้องเผชิญกับ "พายุใหญ่ 2 เด้ง" นอกจากเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวเชื่องช้า ในช่วง 4 เดือนแรกของปี (มกราคม-เมษายน) ภาคส่งออกยังต้องเผชิญกับค่าเงินบาทที่แข็งค่า ทำให้มีอัตราขยายตัวเพียง 3.93% มูลค่า 74,376.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เฉพาะเดือนเมษายนที่ถูกวิกฤติบาทแข็งกระหน่ำ ถึงขั้นจะมีข่าวขู่จะปลดผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยเป็นเดือนที่ค่าเงินบาทแข็งค่าสูงสุดในรอบ 16 ปี อยู่ที่ 28.60 เมื่อวันที่ 21 เม.ย.56 ปรากฏการณ์ที่ว่าทำให้ตลาดส่งออกในแต่ละประเทศติดลบกันเป็นแถบ
โดยภาพรวมการส่งออกเดือนเมษายนขยายตัวเพียง 2.89% ปนข่าวตลกร้าย หลังกระทรวงพาณิชย์ขอแก้ตัวเลขจากการคำนวณตัวเลขผิดพลาดก่อนหน้านี้ ทำให้คนทั้งประเทศหลงดีใจว่า ตัวเลขส่งออกเมษายน เติบโตถึง 10.52% วุ่นวายลามไปถึงการปรับลดเป้าหมายจีดีพี
สปอตไลท์มาที่ตลาดศักยภาพ (Dynamic Market) มีสัดส่วนส่งออกรวม 50.8% "เกินครึ่ง" ของมูลค่าส่งออกรวม กลับมีตัวเลขส่งออกเดือนเมษายนขยายตัวเพียง 1% ฟ้องว่าส่งออกไทยมีปัญหาหนักหน่วง ไล่มากันตั้งแต่ ตลาดอาเซียน จีน อินเดีย ฮ่องกง เกาหลีใต้ และไต้หวัน ตลาดเหล่านี้ยอดส่งออกเคยขยายตัวสูงถึง 35.6% ในปี 2553 ทว่ากลับปรับตัวลดลงในปี 2555 คงเหลืออัตราขยายตัวเพียง 3.7% เมื่อเทียบกับปี 2554 มาปีนี้ 4 เดือนแรก ตลาดศักยภาพมีอัตราเติบโตเพียง 4.8%
เท่ากับว่าตลาดที่หมายปั้นมือว่าคือ “ความหวัง” แทนที่จะโตคึกคักกลับดำดิ่ง
ไม่ต้องพูดถึง 3 มหาอำนาจที่เศรษฐกิจยังติดหล่มอย่าง สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ที่แม้จะเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวลางๆ แต่ยอดส่งออกยังออกอาการน่าเป็นห่วง โดยทั้ง 3 ตลาด คิดเป็นสัดส่วนการส่งออกรวมกันที่ 28.7% ของมูลค่าส่งออกรวม
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าขณะนี้ค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงมาอยู่ที่กว่า 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ (12 มิ.ย.) ทำให้ผู้ส่งออกคลายความวิตกเรื่องรายได้ที่จะเข้ามาในรูปเงินบาทลงบ้าง แต่เศรษฐกิจโลกที่ผันผวนหนัก จากการปรับลดวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจจากมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐ (QE) รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจบิ๊กลอตของรัฐบาลญี่ปุ่น มหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 3 ของโลก ที่ยังมี "โมเมนตัม" ไม่เพียงพอในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ย่อมทำให้กำลังซื้อถดถอย ต่อเนื่องมายังภาคการส่งออกไทย
“6 เดือน” ที่เหลืออยู่ของปี 2556 กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (ชื่อเดิมกรมส่งเสริมการส่งออก) กระทรวงพาณิชย์ จึงจำเป็นต้องระดมทัพนักขาย บรรดาทูตพาณิชย์ที่ประจำการใน 62 ประเทศทั่วโลก มาวางกลยุทธ์การขายกันอย่างถึงลูกถึงคน โดยมีผู้หญิงแถวหน้าอย่าง “ศรีรัตน์ รัษฐปานะ” อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เป็นเซลล์แมนระดับเพชรยอดมงกุฎ
ในการประชุมระดมสมองทูตพาณิชย์ ที่ผ่านมา ผู้คว่ำหวอดตลาดส่งออกอย่างพวกเขาทำนายว่า หากไม่อัดเพิ่มเติมกิจกรรม มีหวังตัวเลขส่งออกทั้งปี 2556 ทำท่าว่าอัตราขยายตัวส่งออกจะหล่นลงมาเหลือ 5.2% ลดลงจากเป้าหมายเดิมที่วางไว้สูงถึง 8-9% มูลค่ารวม 250,176 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (7,630,368 ล้านบาท)
โดยภารกิจของทูตพาณิชย์ ย่อมยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นไม่ได้ !!
ยังไงก็จะต้องผลักดันเป้าส่งออกให้มายืนอยู่ที่ 7-7.5% คิดเป็นมูลค่า 245,585 - 246,733 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ ค่าเงินบาทเฉลี่ย 29.62 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ นั่นคือบทสรุปของการประชุมทูตพาณิชย์ครั้งที่ผ่านมา
ศรีรัตน์ รัษฐปานะ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ วาดแผนบุกตลาดส่งออกครั้งสำคัญนี้ว่า หัวใจสำคัญอยู่ที่การวาง Positioning หรือตำแหน่งทางการค้าสินค้าไทย ให้อยู่ในระดับกลางถึงสูง ให้เห็นว่าสินค้าไทยนวัตกรรม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Product) และดีต่อสุขภาพซึ่งเป็นเทรนด์ของโลก สะท้อนภาพลักษณ์ให้ลูกค้าเห็นว่าเป็นสินค้าคุณภาพดี
ความหมายคือการ “เพิ่มราคาสินค้า” เพื่อชดเชยส่วนต่างของค่าเงินที่แข็งค่าก่อนหน้านี้
เธอยังบอกว่า ต้องทำให้ผู้ซื้อพอใจสินค้าไทยโดยไม่ต้องต่อรองราคา สินค้าไทยต้องไม่ขายแบบยกกอง เหมาโหล ขายถูกๆอีกต่อไป
ไม่เพียงปรับภาพลักษณ์สินค้า โครงการและจัดกิจกรรมที่เป็นธงนำ (Flagship) ยังจะเน้นการสร้าง "ภาพลักษณ์ประเทศ" (Country Image) ทั้งองค์รวม ไปพร้อมกันกับการไปหาลู่ทางการทำธุรกิจอย่างครบวงจร
ไม่เพียง “ขายปลีกสินค้าตามงานแสดงสินค้า”
ทว่าคณะที่ไปเจรจาการค้า (Mission) จะต้องไปแบบพบกันหมด เข้าทำนอง “ขายเป็นแพ็คเกจ” ทั้งแนะนำประเทศ เจรจาการค้า แสดงวัฒนธรรม กาลาดินเนอร์ ตลอดไปจนถึงแนะนำแบรนด์สินค้าไทย
โดยต้องมี กลุ่มสถาปนิก ดีไซน์เนอร์ สินค้าไทย เดินทางไปเจรจาการค้าพร้อมคณะ เพื่ออวดโฉมตัวจริงเสียงจริงของผู้คิดค้นนวัตกรรม สร้างสรรค์สินค้า
นอกจากนี้ ยังจะมอบอีกหนึ่งรางวัลใหม่ นั่นคือ รางวัล “บริษัทแห่งอาเซียน (AEC Enterprise Award)” เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้บริษัทไทยสู่สังเวียนอาเซียน นอกเหนือจากรางวัลผู้ส่งออกดีเด่น (PM Export Award)
ในแง่ของกลุ่มเป้าหมายในการทำตลาด อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ บอกด้วยว่า จะเน้นขายสินค้าในลักษณะธุรกิจกับธุรกิจ (Business to Business) ให้มากที่สุด พบปะกับผู้นำเข้ารายใหม่ๆ ในทั้งตลาดที่เป็นโอกาสอย่างในอาเซียน และตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ให้ถี่ขึ้น
ยิงตรงถึงภาคธุรกิจ นอกเหนือจากผู้บริโภคขั้นสุดท้าย (End User)
อัมพวัน พิชาลัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ประธานการประชุมและกระตุ้นทูตพาณิชย์ทั้ง 62 ประเทศทั่วโลก ให้ข้อมูลว่าโครงการที่เป็นธงนำในการอัดฉีดออเดอร์ส่งออกครึ่งท้ายของปีประกอบด้วย “3 โครงการเร่งด่วน” ได้แก่
การส่งเสริมการเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs Proactive) ,การบูรณาการการค้าการลงทุนและการท่องเที่ยว (Thailand Week) และ การนำนักธุรกิจบุกไปประชิดตัวกลุ่มตลาดเป้าหมายรายใหม่ ในตลาดใหม่แบบเคาะประตูค้า (Knock Door Road Show) โดยจะเน้นสินค้าที่มีโอกาสเพิ่มคำสั่งซื้อ โดยเฉพาะในตลาดอาเซียน มีสัดส่วนการส่งออก 26.8% ของมูลค่าส่งออกรวม และตลาดเกิดใหม่ (Emerging Country) ที่คลุมสัดส่วนการส่งออก 19.6% ของมูลค่าส่งออกรวม
เมื่อรวมสองตลาดเข้าด้วยกัน จะพบว่า มีสัดส่วนการส่งออกสูงถึง 70.4%
“ต้องเพิ่ม 3 กิจกรรม เพราะอาเซียนไม่ใช่ตลาดดั้งเดิม ที่จะทำแบบเดิม แต่เป็นตลาดที่ต้องเพิ่มความสำคัญให้เป็นอันดับ 1 แซงหน้าตลาดสหรัฐ อเมริกาและยุโรปในไม่กี่ปีข้างหน้า จึงต้องคิดโครงการใหม่ๆ ที่จะเพิ่มภาพลักษณ์และโปรโมทสินค้าไทยสร้างการรับรู้ให้เข้าถึงลูกค้า”
เริ่มจากโครงการเจาะตลาดโดยใช้ “กองทัพมด” ภายใต้ชื่อ SMEs Proactive เป็นโครงการสนับสนุนการรวมกลุ่มของ SMEs ที่มียอดส่งออกไม่เกิน 200 ล้านบาท ให้รวมกลุ่มกันเป็นคลัสเตอร์ (สายการผลิตต้นน้ำยันปลายน้ำ) หรือรวมกันเป็นกิจการเพื่อเดินทางไปบุกตลาดร่วมกัน
หลักเกณฑ์คือจะให้ทางภาคเอกชนช่วยเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลกันเอง โดยทำงานร่วมกับ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย,สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ที่มองเห็นศักยภาพในตลาดบางแห่งที่ภาครัฐอาจมองข้าม เพื่อเปิดกว้างให้เอกชนช่วยกันคิดโครงการ หรือจัดกิจกรรมเข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่มีการเจรจาธุรกิจกับธุรกิจ(BtoB) รวมถึงเดินทางไปกับคณะมิชชั่นไปเจรจาการค้า (Out going mission)
โครงการนี้จะต่างจากกิจกรรมโรดโชว์ในตลาดใหม่ที่เคยจัดมาทุกปี ตรงที่ภาคเอกชนจะบริหารโครงการเองตั้งแต่วางแผนกิจกรรม หาตลาดลูกค้าเองและยังเพิ่ม โดยได้รับวงเงินอัดฉีดจากรัฐติดปีก SMEs ได้ในประเทศที่เสี่ยงไม่มีคนค้าขายด้วยมากขึ้น
“งบประมาณวางไว้ 300 ล้านบาท เป้าหมาย 500 รายภายใน 3 ปี ที่จะเปิดกว้างให้เอกชนรวมตัวกันจะเป็นกลุ่มหรือรายเดียวก็เขียนแผนเข้ามาเสนอได้ หากไม่พออาจจะเพิ่มเติมได้ โดยเน้นที่งานแฟร์ที่มีการเจรจาธุรกิจเป็นหลัก(B to B) ไม่ใช่เพียงขายปลีก ซึ่งเมื่อออกไปแล้วก็หวังผลมีออเดอร์ติดไม้ติดมือกลับมาได้”
เรียกว่าให้ SMEs ไปเปิดขุมทองด้วยมือตัวเอง แทนที่จะคอยให้รัฐเป็นพี่เลี้ยงเหมือนที่ผ่านมา นี่คือนิยามของกองทัพมด
ส่วนการบุกในลักษณะเป็น “คณะใหญ่” จะใช้โครงการ "Thailand Week" เป็นตัวเดินเกม เจาะกลุ่มเป้าหมายไปที่ “บริษัทนำเข้า” โดยจัดคณะผู้แทนการค้าไปเชื่อมการค้ายกแผงตั้งแต่ การแสดงสินค้า (Solo Show) จัดหาวัตถุดิบ (Sourcing) จัดเจรจาธุรกิจการค้า (Business Matching) ,ฟอรัมสัมมนา/workshop เกี่ยวกับธุรกิจและลงทุน ,การโชว์วัฒนธรรม กาลาดินเนอร์ หรือ Dinner talk เป็นการโชว์พาวิลเลียนอย่างไทยที่จะเสริมการรับรู้ภาพลักษณ์ให้สินค้าไทย รวมถึงให้ข้อมูลการตลาดและการท่องเที่ยว ทุกด้านเกี่ยวกับเมืองไทย บางตลาดและบางคนที่ไม่รู้จักประเทศไทยก็จะเปิดโอกาสแนะนำประเทศไปในตัว
โดยรวมแล้วจะมีเอกชนที่เข้าไปร่วมงานไม่ต่ำกว่า 500 รายต่อครั้ง ใช้งบประมาณ 5 ล้านบาทต่องาน เน้นกลุ่มสินค้าเป้าหมายที่มีมูลค่าสูง มีอัตราเติบโตด้านการส่งออกดีเข้าถึงกลุ่มตลาดกลางถึงบน คือ อาหาร ชิ้นส่วนยานยนต์ รวมถึงภาคบริการ คือกลุ่มสุขภาพ ก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ บันเทิง การศึกษา ไปจนถึงแฟชั่น
โครงการนี้จะทำงานร่วมกันในฐานะ “ทีมไทยแลนด์” กับหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ ดึงสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(BOI) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) กระทรวงการต่างประเทศ(กต.) รวมถึงกระทรวงต่างๆเข้ามามีส่วนร่วม ยกระดับภาพลักษณ์ประเทศไทย
โดยแผนการจัดงานจนถึงสิ้นปี จะจัด 7 แห่ง คือ กรุงย่างกุ้ง พม่า (7-11มิ.ย.2013) ,จาการ์ตา อินโดนีเซีย (4-9 มิ.ย.) 3.มุมไบ/กัลป์กาตา (25-29 มิ.ย.) ,มะนิลา ฟิลิปปินส์ (15-18 ส.ค.) ,รัสเซีย(1-20 ก.ย.) และบราซิล ที่อยู่ระหว่างกำหนดวันที่เหมาะสม
ส่วนโครงการที่ 3 คือ กิจกรรม Knock Door Road Show ไปยังเมืองใหม่ คู่ค้ารายใหม่ ในตลาดเก่า ได้แก่ ยุโรป ญี่ปุ่น อเมริกา โดยจะนำคณะผู้ส่งออกบุกไปขายสินค้ายังประเทศเป้าหมายที่ไม่เคยซื้อสินค้าไทยมาก่อน เช่น การไปเมืองฟูกุชิมา เมืองที่มีสินค้าไทยอยู่น้อยมาก ไปพบกับผู้บริหารห้างเบเซีย (Besia) จึงพบว่ายังมีโอกาสส่งสินค้าไทยไปขายอีกมาก
โอกาสการเพิ่มขึ้นจากการไป Knock Door ที่เราจะคาดหวังกลุ่มลูกค้าในกรณีอย่างนี้ที่แทรกตัวอยู่ในเมืองที่ยังไม่เคยไปอีกมาก อาทิ เมืองท่องเที่ยว อย่างตุรกี เพราะเมืองท่องเที่ยวแม้เศรษฐกิจจะไม่ดีแต่กำลังซื้อไม่เคยตกตามสภาวะ
สินค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่จะนำไปก็คือ กลุ่มสุขภาพ อาหาร หรือสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ ที่ไปขายในกลุ่มคนมีเงินยังมีอยู่มาก
“ยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจน การซื้อขายเครื่องประดับในเยอรมันยังมีสูงแม้จะได้รับผลกระทบจากวิกฤติยูโรโซน เพราะคนแถบนี้นิยมเก็บทรัพย์สินมีค่าแทนเงินสด รวมไปถึงโอกาสของสินค้าเครื่องนุ่งห่ม สินค้าขาลงที่ติดลบสูงในปีที่ผ่านมา ก็เป็นปัจจัยที่จะเพิ่มยอดขายในตลาดที่นิยมสินค้าระดับกลางถึงไฮเอนด์”
รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ยังบอกว่า “พม่า” ยังเป็นประเทศน่าจับตา และต้องบุกเข้าไปให้เข้มข้น โดยคะเนว่าพม่าจะเป็นคู่ค้าไทยเป็นอันดับ 10 ของไทยภายในปี 2558 จากปัจจุบันที่อยู่อันดับที่ 16 เนื่องจากมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เรียกว่ามีอัตราเติบโตสูงแซงหน้าเกือบทุกตลาด
---------------------------------------------------
"ปากคำ"ทูตพาณิชย์ ต้องบุกตลาดไหน?
พม่า-อิเหนา-รัสเซีย-อินเดีย นำโด่ง
ประจวบ สุภินี ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สคร.) หรือทูตพาณิชย์ ณ เมืองย่างกุ้ง มองว่า ในภาวะที่ประเทศพม่ากำลังเติบโตมีคนเดินทางเข้าไปเป็นจำนวนมาก จำเป็นต้องเร่งจัดกิจกรรมให้เข้าถึงคนพม่าอย่างเร่งด่วนในทุกช่องทาง เช่น สร้างการรับรู้แบรนด์ แสดงสินค้า และการจัดโปรโมรชันสินค้า ณ จุดจำหน่าย
"เศรษฐกิจในพม่ากำลังขยายตัวมีคนเดินมาไปมาก ความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นทั้งเพื่อการอุปโภคบริโภค และตั้งโรงงานผลิต รวมถึงภาคก่อสร้างคึกคักรองรับงานใหญ่อย่างเช่นซีเกมส์ ปีนี้(2013)"
เช่นเดียวกับ “อินโดนีเซีย” ยังเป็นอีกตลาดแห่งความหวังในการเร่งปั๊มยอดส่งออก เพราะมีประชากรกว่า 240 ล้านคน มีรายได้ที่เป็นฐานจากคนชั้นกลางเพิ่มขึ้น ถือเป็นตลาดอันดับ 2 ในอาเซียน รองจาก มาเลเซีย โดยมีสิงคโปร์ตามมาเป็นอันดับ 3
โดยอินโดนีเซีย ถือเป็นตลาดเดียวในกลุ่มอาเซียนเก่า(ไม่รวมบรูไน) ที่ยอดส่งออกไม่ตก ใน 4 เดือนแรกของปีนี้ มีอัตราเติบโต 8%
วิลาสินี โนนศรีชัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ(สคร) หรือทูตพาณิชย์ ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เล่าถึงกลยุทธ์เจาะตลาดในอนาคตอันใกล้ว่า ทางเลือกหนึ่งคือการเจรจากับกลุ่มเซ็นทรัล ที่จะไปเช่าพื้นที่สรรพสินค้าขนาดใหญ่ใจกลางเมืองอินโดนีเซีย (เช่าพื้นที่ฝั่งตะวันออกของศูนย์การค้าแกรนด์ อินโดนีเซีย จำนวน 4 ชั้น พื้นที่ 21,000 ตารางเมตร กำหนดให้บริการภายในปี 2557) โดยเจรจาให้เซ็นทรัลเป็นหัวหอก นำสินค้าไทยเข้าถึงผู้บริโภคอินโดนีเซียให้มากขึ้น
ขณะที่ตลาดใหญ่ที่ยังไม่ค่อยมีใครเข้าไปทำการค้ามากนักคือรัสเซีย เพราะมองว่าไกลและไม่มีใครรู้จัก มีอุปสรรคการสื่อสาร ในเรื่องนี้ กัลยาณี ศิริกุล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ(สคร.) หรือทูตพาณิชย์ ณ กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย มองว่า รัสเซียกำลังเติบโตและมีโอกาสออเดอร์สินค้าไทยเป็นจำนวนมาก โดยที่ผ่านมาไทยนำเข้าสินค้าจากรัสเซีย สูงถึง 4,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนใหญ่เป็นน้ำมัน แร่เหล็กและปุ๋ย แต่ไทยกลับส่งออกไปรัสเซียเพียง 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นั่นสะท้อนว่าไทยยังขาดดุลการค้ารัสเซียอยู่มาก
โดยตัวเลข 3 เดือนที่ผ่านมา ไทยส่งออกสินค้าไปรัสเซียขยายตัว 17.88% สูงกว่าประมาณการไว้ที่ 5% จึงน่าจะเร่งเครื่องให้ถึงเป้าหมาย 12% ปีนี้
ส่วนกลยุทธ์การบุกรัสเซียให้ได้ผล ต้องเน้นเจาะตลาดไปในแถบตะวันออกของประเทศที่เป็นที่ตั้งของเมืองท่า วลาดีวอสต็อก ซึ่งเป็นเมืองที่รัฐบาลรัสเซียส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างหนัก มีกลุ่มทุนทยอยเข้าไปในพื้นที่ โดยเฉพาะ เกาหลี จีน และญี่ปุ่น
ขณะที่อดุลย์ โชตินิสากรณ์ ผู้อำนวยการอาวุโสสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สคร.) ณ เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย มองแดนภารตะแห่งนี้ว่าเป็นตลาดใหญ่ที่จะมีบทบาทสำคัญในอนาคต เพราะเริ่มเปิดตลาดให้ค้าปลีกต่างชาติได้เข้าไปทำธุรกิจ กฎหมายระบุต่างชาติถือหุ้นได้ 51% เริ่มต้นเปิดให้ค้าปลีกแบรนด์เดียว(Single Brand) เข้าไปทำตลาดก่อน ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ตามด้วย Multi Brand อย่างกลุ่มคาร์ฟูร์ ,วอลมาร์ท ทยอยไปบุกแดนภารตะอย่างมีนัยสำคัญ
สินค้าไทยจึงต้องออกตัวให้ไวเป็นผู้มาก่อน “First mover” จับจองช่องทางก่อนใคร ในตลาดที่ใหญ่มากด้วยโอกาสทำการค้าขาย ไปจับกลุ่มคนรวยที่มีกว่า 350 ล้านคน เช่น รัฐคุชราช ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของอินเดีย