ครบวงจรสู่การต่อยอด ภารกิจ 'ทายาท'หนุ่มสาวทัวร์

ธุรกิจท่องเที่ยว ก็คล้ายกับ Commodity Product คือสร้างความแตกต่างได้ยาก ทว่า วิสัยทัศน์ และการสร้างแบรนด์ สามารถแก้โจทย์นี้ได้
ทุกวันนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักบริษัทนำเที่ยวอย่าง "หนุ่มสาวทัวร์" ในทางตรงข้ามก็คงมีหลายคนที่ไม่รู้ว่า ปัจจุบันหนุ่มสาวทัวร์ขยายธุรกิจท่องเที่ยวจนครอบคลุมและมีความครบวงจร (One Stop Service)
มีทั้งบริษัทนำเที่ยว บริษัทให้เช่ารถบัสและรถตู้ บริษัทผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์แคมปิ้ง ร้านอาหาร ตลอดจนบริษัทนำเด็กไทยไปศึกษาต่อต่างประเทศ
นั่นเป็นเพราะวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้ง "ศุภฤกษ์ ศูรางกูร" ก็คือการเป็น One Stop Service ในธุรกิจท่องเที่ยว
หากถามว่า เวลานี้ครบถ้วนสำหรับคำว่าครบวงจรแล้วหรือยัง คำตอบก็คือ ยังมีอีกหลายธุรกิจที่หนุ่มสาวทัวร์วางแผนจะเปิดตัวในไม่ช้า
อย่างไรก็ดี ความฝันที่ยิ่งใหญ่และต้องไปให้ถึงของ ศุภฤกษ์ ในเวลานี้ก็มีลูกชายเข้ามาช่วยแบ่งเบา นั่นคือ
"โชติช่วง ศูรางกูร" และ "ชัชวาล ศูรางกูร" ลูกชายฝาแฝดวัย 31 ปี
เขาทั้งสองคนนี้มีดีกรีเป็นถึง "Talent" ขององค์กรชั้นนำทั้งที่เป็นบริษัทไทยและบริษัทข้ามชาติ เพราะระหว่างที่พวกเขาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการทำงานให้กับองค์กรภายนอก พวกเขาต่างได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้จัดการฝึกหัด (Management Trainee) ซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากตำแหน่งดังกล่าวคือบันไดที่จะนำไปสู่การเป็นผู้จัดการ หรือ ผู้บริหารในอนาคตนั่นเอง
โชติช่วง และ ชัชวาล บอกว่า ในความเป็นจริงพ่อของเขาไม่เคยบังคับหรือกำหนดอนาคตชีวิตของลูกๆ แต่ขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นและความต้องการของพวกเขาทั้งสองคน
ส่วนเหตุผลที่พวกเขาไปทำงานกับองค์กรอื่น ไม่รีบเข้ามาสานต่อธุรกิจครอบครัวทันที ก็เพราะต้องการเปิดหู เปิดตา พวกเขาต้องการเรียนรู้วิธีคิดและวิธีทำงาน ต้องการหาประสบการณ์จากโลกภายนอก รวมถึงการมีเพื่อนฝูงไว้คบค้าสมาคม
แต่เมื่อถึงเวลา พวกเขาก็ตัดสินใจเข้ามาช่วยแบ่งเบางานที่หนักอึ้งของผู้เป็นพ่อ แม้ว่ายังสนุกอยู่กับงานที่ทำข้างนอกก็ตาม
ซึ่งภารกิจในความเป็นทายาทธุรกิจของพวกเขาทั้งสองก็คือ "การต่อยอด" ความเป็น One Stop Service ที่มีอยู่เดิม
ปัจจุบันโชติช่วง ทำหน้าที่ดูแลกิจการนำเที่ยว นั่นคือ หนุ่มสาวทัวร์ โดยในปีที่ผ่านมาได้เปิดตัวบริษัททัวร์ใหม่ "เวิลด์ คอลเลคชั่น ทราเวล" มุ่งเน้นลูกค้าเป้าหมายเป็นกลุ่มองค์กร ที่มีความพรีเมี่ยมมากกว่าตลาดที่มีอยู่เดิม
หนุ่มสาวทัวร์นั้นมีอายุอานามร่วม 34 ปีแล้ว และมีพนักงานราว 200 ชีวิต ซึ่งต่างก็เป็นคนเก่า มากไปด้วยประสบการณ์ คำถามก็คือ โชติช่วงก้าวข้ามความท้าทายในเรื่องนี้เพื่อสร้างความยอมรับได้อย่างไร
"ผมเองมีประสบการณ์การทำงานภายนอกมาเป็นเวลา 7 ปี ผ่านงานมาถึง 5 บริษัททั้งที่เป็นโลคัลและอินเตอร์ ผมเคยเป็นทั้งลูกน้องและเจ้านาย เลยพอจะรู้ว่าพนักงานเขาคิดอย่างไร และผมก็อาศัยการรับฟัง ว่ากระบวนการทำงาน หรือปัญหาในงานของพวกเขาเป็นอย่างไร จะหาทางแก้ไขให้ดีขึ้นได้อย่างไร ซึ่งพวกเขาย่อมรู้ดีกว่าตัวผม ขณะที่ผมจะยื่นมือเข้าไปช่วยพวกเขาในระดับหนึ่ง"
โดยสรุปแล้ว เคล็ดลับของโชติช่วง ก็คือ การรับฟัง และไม่ใช้วิธีออกคำสั่ง
ขณะที่ชัชวาล แฝดผู้น้อง เป็นผู้รับผิดชอบธุรกิจโรงแรม ซึ่งหมายถึง บริษัทในกลุ่มเซเรนนาต้า โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท กรุ๊ป
"ผมเองก็ใช้วิธีพิสูจน์ตัวเองให้พวกเขาเห็น ว่าทำได้ ยกตัวอย่างเช่น ระบบออนไลน์ซึ่งผมเองก็ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน แต่แนวโน้มของธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมก็คือออนไลน์ ทำให้ผมต้องศึกษา ลองผิดลองถูกและเซ็ตระบบออนไลน์ขึ้นมาด้วยตัวเอง และก็ทำให้รายได้ที่มาจากช่องทางนี้เพิ่มสูงขึ้นถึง 300เปอร์เซ็นต์"
ชัชวาล บอกว่า ไม่มีงานอะไรที่เป็นเรื่องยาก การศึกษาเรียนรู้ด้วยตัวเอง (Self-Learning) นั้นเป็นเคล็ดลับสำคัญสำหรับเขา
"ธุรกิจโรงแรมคู่แข่งของเรามีอยู่ทั่วโลก ดังนั้นผมจะศึกษาลงรายละเอียดกรณีศึกษาของเชนโรงแรมทั่วโลก และหาวิธีว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้แบรนด์ของเราออกไปสู่สายตาลูกค้ามากที่สุด"
และที่ลืมไม่ได้ ก็คือต้องปรับทัศนคติของพนักงานให้เตรียมพร้อมและตอบรับกับธุรกิจท่องเที่ยวที่แข่งขันกันแบบไร้พรมแดนมายาวนานแล้ว และจะทวีความร้อนแรงยิ่งขึ้นไปอีก
พวกเขาทั้งสองบอกว่าแม้ต่างมีธุรกิจที่ต้องรับผิดชอบ แต่ต่างก็เข้าไปช่วยเหลืออีกฝ่ายในสูตร 80:20
หมายถึง ถ้าเป็นธุรกิจทัวร์ โชติช่วงจะดูแล 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนชัชวาลดูแลงานนี้แค่ 20 เปอร์เซนต์ ในทางกลับกันหากเป็นธุรกิจโรงแรมชัชวาลต้องทำหน้าที่ดูแล 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนโชติช่วงจะดูแลเพียง 20 เปอร์เซ็นต์
ในเวลานี้พ่อปล่อยมือให้อิสระในการบริหารงานมากน้อยเพียงไร ?
"ครอบครัวของเราค่อนข้างเปิด เรามีอะไรก็มักแชร์ให้กันฟัง และพ่อก็มักสอนประสบการณ์ดีๆ ให้พวกเราอยู่เสมอ และถึงแม้พ่อของพวกเรายังไม่ปล่อยมือร้อยเปอรเซ็นต์ และพวกเราก็พยายามพิสูจน์ตัวเองให้พ่อเห็นว่าเราทำได้ โดยพยายามดึงงานของพ่อมาทำทีละเล็กละน้อย แล้วทำให้ดู ทำให้พ่อไว้ใจ"
โชติช่วง และ ชัชวาล บอกว่า ในการทำงานร่วมกับผู้พ่อ พวกเขานั้นจะพยายามสร้างบรรยากาศของความเป็น "หุ้นส่วนธุรกิจ" มากกว่าความเป็นพ่อ เป็นลูก ทั้งพวกพวกเขายังเข้าไปช่วยเซ็ทระบบการทำงานที่ยังเป็นแนว "โบราณ" ของพ่อให้คล่องตัวและทันสมัยยิ่งขึ้น
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรพ่อก็คือ โรลโมเดลเป็นแบบอย่างให้พวกเขาเดินตาม และที่โดดเด่นนั้นมีอยู่ 3 เรื่องก็คือ ขยัน- ซื่อสัตย์- อดทน