สแกน GMM Z ผ่านม่านตา "ฟ้าใหม่ ดำรงชัยธรรม"

ช่วยงานพ่อมา 5 ปี ทว่าวันนี้ ฟ้าใหม่ ดำรงชัยธรรม ผู้นำจีเอ็มเอ็มแซท เทรดดิ้ง ทายาทคนโต อากู๋-ไพบูลย์ ขยับแว่นรับ "ธงผืนใหญ่"
“ไม่เกินปี 2559 “จีเอ็มเอ็ม วันสกาย” ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น “จีเอ็มเอ็มแซท เทรดดิ้ง” ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องรับสัญญาณโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม จะต้องขึ้นมาเทียบชั้น “จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่” เขาจะเป็น “พระเอก” คนใหม่ของเรา” คำมั่นสัญญาที่ “อากู๋-ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม” ผู้ก่อตั้ง “จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (GRAMMY) เคยให้ไว้กับ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” เมื่อเดือน มี.ค.2555
ครานั้น “แม่ทัพใหญ่” เคยลั่นวาจาหนักแน่นว่า “ผมอาจขายหุ้น จีเอ็มเอ็ม วันสกาย ให้กับพันธมิตรสัญชาติอเมริการายหนึ่งประมาณ 20-25 เปอร์เซ็นต์ เราเซ็นสัญญา MOU ไปแล้วเหมือนเดือนก.พ.2555 พันธมิตรคนนี้เป็นเพื่อนสนิท ผมรู้จักเขามานานหลายปี แต่เริ่มคุยกันจริงจังเมื่อ 2 เดือนก่อน เพื่อนคนนี้เขามีเทคโนโลยีที่สามารถเอื้อประโยชน์กับบริษัท ที่สำคัญเขามีเงิน “สเปกถูกใจใช่เลย”..
หากไม่มีอะไรผิดพลาด ภายในเดือนเม.ย.2555 เขาต้องจ่ายเงินค่าหุ้นให้กับเรา ก่อนจะตัดสินใจขายหุ้นให้เพื่อนต่างชาติคนนี้ เราคุยกับพันธมิตรมาแล้วหลายราย อาทิเช่น ชาวอเมริกา 2 ราย ญี่ปุ่น 1 ราย ไต้หวัน 1 ราย และคนไทย 2 ราย
“คนอย่างผมทำอะไรต้องไม่ขาดทุน ต้องไม่เสียเปรียบ ที่สำคัญเงินในกระเป๋าต้องอยู่ครบ ถ้าทำแล้วไม่รุ่งไม่แตะเด็ดขาด” เขาบอกถึง “สไตล์การลงทุน” ส่วนตัว
ผ่านมา 1 ปีกว่า “อากู๋” เลือกขายหุ้นเพิ่มทุนใน “จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่” จำนวน 106.05 ล้านหุ้น ในอัตรา 5 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ราคาหุ้นละ 10 บาท โดยหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวได้เข้าซื้อขายเมื่อวันที่ 16 ก.ย.2556 บุคคลที่จองซื้อหุ้นเพิ่มทุนล็อตนี้ แบ่งเป็นผู้ลงทุนสัญชาติไทย ประเภทนิติบุคคล 6 ราย และบุคคลธรรมดา 1,534 ราย ผู้ลงทุนต่างประเทศ ประเภทนิติบุคคล 17 ราย และบุคคลธรรมดา 3 ราย
ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาจะเห็น “ไพบูลย์” เพียรพยายามขายหุ้นตัวโน้นตัวนี้ เพื่อนำเงินไปทุ่มลงทุนใน “จีเอ็มเอ็มแซท เทรดดิ้ง” ไม่เว้นแม้แต่ “หุ้น มติชน” (MATI) ที่ “จีเอ็มเอ็ม มีเดีย” บริษัทในเครือของ GRAMMY ถือหุ้นมานานกว่า 7 ปี ด้วยการขายยกแผง 22.12 เปอร์เซ็นต์ ราคาหุ้นละ 11.11 บาท
เมื่อ “ผู้นำองค์กร” กำลังจะผลัดใบจาก “ธุรกิจเพลงและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับเพลง” ภายใต้โมเดล “การให้บริการเพลงแบบครบวงจร” (Total Music Business) เป็น “ธุรกิจโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม” เจ้าของบริษัทจึงต้องเสาะหาผู้เชี่ยวชาญมาเดินเครื่อง “จีเอ็มเอ็มแซท เทรดดิ้ง” ในช่วงแรก
ไล่มาตั้งแต่ “อดีตผู้บริหาร” บมจ.อาร์เอส (RS) “เดียว วรตั้งตระกูล” ปัจจุบันนั่งเก้าอี้ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มงาน Platform ควบคู่ตำแหน่งพี่เลี้ยงช่วงแรกให้ “เก่อเก๋อ-ฟ้าใหม่ ดำรงชัยธรรม” ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ และ “ตีตี้-ระฟ้า ดำรงชัยธรรม” ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มงานคอนเทนท์ แมเนจเม้นต์ “จีเอ็มเอ็มแซท เทรดดิ้ง”
ก่อนจะมาแต่งตั้ง “ธนา เธียรอัจฉริยะ” เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจบรอดแคสติ้ง แต่เขาทำงานได้เพียง 1 ปี ก็ลาออกในวันที่ 1 ก.พ.2556 จากนั้นวันที่ 25 มี.ค.2556 ประกาศแต่งตั้ง “ครรชิต ควะชาติ” อดีตผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการเงินการลงทุนและพัฒนาธุรกิจ บมจ.เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ (WORK) เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายธุรกิจดิจิตอลทีวี
“เขาเหมือนคนถูกผลักลงน้ำ แล้วต้องรีบตะเกียกตะกายขึ้นมาก่อนจะจมน้ำตาย“โชคดี” ที่เขาเป็นคนเรียนรู้งานเร็ว หลังจากได้ลงมือทำงานในสถานการณ์จริงๆ ไม่ใช่เหตุการณ์สมมุติ” “อากู๋-ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม” พูดถึง “ลูกชายคนโต” “เก่อเก๋อ-ฟ้าใหม่”” ให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟัง หลังบังเอิญเจอกันหน้าลิฟท์ชั้น 21 อาคารจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เพลส
ก่อน “ประธานกรรมการ” จะเดินเข้าห้องประชุม เขาเผยความลับว่า ตั้งแต่ “ฟ้าใหม่” รู้ว่าต้องมานั่งทำงานใน “จีเอ็มเอ็มแซท เทรดดิ้ง” เขาค่อนข้างเครียด บางครั้งหนักถึงขนาดนอนไม่หลับ ผมพยายามบอกเขาว่า ค่อยๆทำไป ไม่เครียดได้งัยก็พ่อเล่นตั้งเป้าหมาย 5 ปี บริษัทต้องมีสัดส่วนรายได้ 50 เปอร์เซ็นต์นี่เนอะ “อากู๋” สถบ..
“ลูกชายผมใช้ได้มั้ย?” เขาหันมาถาม “บิสวีค” ก่อนจะเล่าความใจถึงของลูกชายคนโตให้ฟังว่า “เมื่อครั้งผม “พี่เล็ก-บุษบา ดาวเรือง” และ “พี่ฉอด-สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา” เริ่มต้นทำธุรกิจเทปเพลงใหม่ๆ เราลงทุนกันแค่หลักร้อยล้าน แต่พอ “ฟ้าใหม่” เข้ามานั่งทำงานไม่กี่เดือน เขาเล่นสั่งของหลักพันล้าน (หัวเราะ) ช่องว่างช่างแตกต่างกันจริงๆ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วถือเป็นเรื่องธรรมดาในการสั่งหลักพันล้าน
“จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำเป็นต้องมีเพื่อนใหม่อีกหรือไม่?” ผู้นำองค์กรตอบคำถามนี้ว่า ที่ผ่านมามีนักลงทุนต่างชาติแวะเวียนมาพูดคุยกับเราตลอด บางคนมาแนวอยากได้หุ้นเพิ่มเติม ส่วนนักลงทุนในประเทศ ก็มาหาเราเช่นกัน ส่วนใหญ่อยากจับมือทำธุรกิจกับเรา สิ้นปี 2556 หากไม่มีอะไรผิดพลาดคงได้เห็น “เพื่อนใหม่” สักคน แต่สุดท้ายเพื่อนจะมาในรูปแบบไหนคงต้องรอดูกันต่อไป (ยิ้ม)
บ่ายโมงได้เวลานัด “ฟ้าใหม่ ดำรงชัยธรรม” ทายาทคนโต จากจำนวนพี่น้อง 4 คน “ตีตี้-ระฟ้า” “เหม่เหม -อิงฟ้า” และ “หว่าหวา-ฟ้าฉาย” เดินเข้ามาในห้องประชุมเล็ก ด้วยเสื้อยืดสีดำและกางเกงยีนส์ “ผมไม่ชอบใส่เสื้อสีฉูดฉาด หรือเสื้อเชิ้ต จะหยิบมาใส่ตอนออกงานเท่านั้น ใส่แบบนี้สบายดีทำงานคล่องตัว” ชายหนุ่มวัย 27 ปี กล่าวทักทาย “บิสวีค” ด้วยการตอบคำถามเกี่ยวกับรสนิยมส่วนตัว
เขาจิบน้ำอุ่น เพื่อบรรเทาอาการไอ ก่อนเล่าประวัติส่วนตัวฉบับมินิให้ฟังว่า “ผมเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นปีที่ 1 ที่โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนจะไปเรียนต่อจนจบเกรด 12 หรือ มัธยมศึกษาตอนปลายปีที่ 6 ที่โรงเรียนนานาชาติร่วมฤดี และโยกมาเรียนต่อสาขา Communication คณะ Annenberg School for Communication University of Southern California, สหรัฐอเมริกา”
เหตุผลที่เลือกศึกษาต่อในประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะมหาวิทยาลัยแห่งนี้เขาโดดเด่นเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนท์ ก่อนจะตัดสินใจไปเรียน เราหาข้อมูลและคิดเองไม่ได้มีใครแนะนำ เมื่อก่อนการไปเรียนต่อเมืองนอกเหมือนเป็นกระแสนิยม ไม่ได้คิดว่า ต้องไปเรียนเพื่อกลับมาช่วยงานคุณพ่อ แต่ไปเพียงเพราะชื่นชอบเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนท์
หลงรัก “เอ็นเตอร์เทนเมนท์” อาการนี้เกิดตั้งแต่เด็กๆ จำความได้ทุกครั้งที่บริษัทจัดคอนเสิร์ตที่ “เอ็มบีเค ฮอลล์” คุณพ่อต้องหนีบเราไปด้วยประจำ โตขึ้นมาหน่อยท่านจะพาเราไปนั่งเล่นในออฟฟิค ตรงสุขุมวิท 39 พ่อให้ผมช่วยงานเล็กๆน้อย เช่น พับปกเทป เรายังเด็กก็ทำมั่วๆไป
พ่อไม่เคยพูดหรือบังคับว่า โตแล้วคุณต้องมาทำงานที่นี่ แต่ท่านจะใช้วิธีเล่าสิ่งที่เจอในแต่ละวันให้ฟัง ออกแนวให้ลูกๆซึมซาบ ก่อนจะขอความคิดเห็น ด้วยความที่ยังเด็กทำให้ตอบได้บ้างไม่ได้บ้าง คุณพ่อเป็นคนช่างพูด ท่านมักสอดแทรกอะไรบางอย่างไว้ในเรื่องราวนั้นๆ ทำให้เราไม่รู้สึกเบื่อในสิ่งที่พ่อเล่า
“เริ่มรู้สึกอยากกลับมาช่วยงานใน “จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่” ตอนช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ความคิดเริ่มเปลี่ยนไป สมัยมัธยมผมเรียนไม่ค่อยเก่ง ออกแนวเที่ยวเล่นไปวันๆ แต่พอหา “จุดสมดุล” ของตัวเองเจอ ความอยากทำงานเกี่ยวกับเอ็นเตอร์เทนเมนท์เริ่มเกิดขึ้น”
“เก่อเก๋อ” เล่าต่อว่า เรียนจบกลับเมืองไทยต้นปี 2551 พอช่วงปลายปี 2551 คุณพ่อให้ไปชิมลางงานแรกเกี่ยวกับการประสานงาน โดยมี “ตี่-กริช ทอมมัส” กรรมการ “จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่” คอยเป็นพี่เลี้ยง หน้าที่หลักๆดูภาพรวมของธุรกิจเพลงว่า แต่ละปีจะมีศิลปินออกอัลบั้มเท่าไร งานนี้ทำให้เรารู้จักทุก “ตรอก ซอก ซอย” ของบริษัท เพราะเราต้องเก็บข้อมูลจากทุกๆแผนก
ทำตำแหน่งนี้ได้ 1 ปี พ่อขอให้โยกไปนั่งเป็นกรรมการผู้จัดการ สังกัดสนามหลวงการดนตรี หลังผู้บริหารคนเดิมต้องย้ายไปทำงานในส่วนอื่นแทน ปีแรกของการทำงานในตำแหน่งนี้ ผมต้องทำทุกอย่างใหม่ทั้งหมด ตอนนั้นเรามีศิลปินในสังกัดเพียงคนเดียว นั่นคือ “ลุลา” หรือ “กันยารัตน์ ติยะพรไชย”
เขายืดอกยอมรับแบบแมนๆว่า อัลบั้มแรกไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเท่าไร เพราะวิธีการทำงานยังไม่เข้ารูปเข้ารอย แต่หลังจากอัลบั้มนั้นผ่านไป เรามีบทเรียนมากขึ้น เริ่มรู้แล้วว่า ต้องทำงานอะไรบ้าง ต้นทุนอยู่ตรงไหน ควรใช้เงินลงทุนในส่วนใดก่อน หากให้เรานำอัลบั้มแรกกลับมาทำใหม่ในวันนี้รับรอง “รุ่ง” แน่นอน
จากนั้นในปี 2555 พ่อสั่งย้ายอีกรอบ คราวนี้ให้มานั่งประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ “จีเอ็มเอ็มแซท เทรดดิ้ง” หลัง “ธนา เธียรอัจฉริยะ” ลาออก ตอนนั้นเทคโนโลยีเดินทางมาถึง “จุดเปลี่ยน” ซึ่งคุณพ่อมองเห็นโอกาสการ “เติบโต” ทำให้ท่านตัดสินใจระดมพลมาช่วยกันทำงานในบริษัทแห่งนี้
ขอเล่า “จุดเริ่มต้น” บริษัทแห่งนี้ว่า หากมอง “จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่” ออกเป็น 2 ธุรกิจใหญ่ จะแบ่งเป็น 1.ธุรกิจเพลงและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับเพลง เราทำตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ อธิบายให้เข้าใจง่ายๆคือ ปั้นศิลปินไปจนถึงมีร้านขายแผ่นเพลง “เรามีระบบนิเวศเป็นของตัวเอง”
2.ธุรกิจสื่อ ธุรกิจนี้ไม่ค่อยมั่นคงเท่าไร ด้วยความที่เราเป็น “คอนเทนต์ โปรวายเดอร์” หรือผู้จัดหาเนื้อหา ทำให้เราต้องคอยไปขอเวลาคนอื่น เพื่อผลิตรายการออกอากาศ แรกๆเราดีใจที่มีช่องเป็นของตัวเอง แต่วันหนึ่งเขามาบีบเราว่า หากอยากได้ช่องดีๆต้องจ่ายเงินแพงๆ
ฉะนั้นหากเขาไม่ชอบหน้าเราขึ้นมาวันไหนแล้วถีบเราออกจากแฟลตฟอร์มของเขาเราจะทำอย่างไร ฉะนั้นเราต้องผลันตัวเองมาเป็น “แฟลตฟอร์ม โอเปอเรเตอร์” เราต้องมีบ้านให้กับคอนเทนต์ของเราทั้งหมด เพื่อความสุขสบายของทุกคน (ยิ้ม)
“โจทย์สำคัญของพ่อคืออะไร” ปีแรกๆทุกอย่างมันฉุกละหุก ตอนนั้นฟุตบอลยูโรกำลังจะมา แต่เรายังขายกล่อง GMM Z ซึ่งตอนนั้นยังเป็นชื่อกล่อง ONE SKY ได้เพียง 1,000 กล่องเท่านั้น ช่วงนั้นผมต้องส่งเซลล์ลงพื้นที่ เรียกว่า บุกตะลุยทุกช่องทาง “ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว” เซลล์เราไปหมด ตาม “โมเดิร์นเทรด” กองทัพเชลล์ไม่พลาดที่จะไป
“เหนื่อยมาก แต่สุดท้ายยิ้มได้ เพราะสิ้นปี 2555 เรามียอดขายกล่อง GMM Z ประมาณ 1.5 ล้านกล่อง ใช้เวลาเพียง 7-8 เดือนเท่านั้น ลำพังช่วงมีฟุตบอลยูโรเราก็มียอดขายแล้ว 1 ล้านกล่อง”
แต่ตอนนี้งานใหม่งอกแล้ว!! ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า (2555-2559) ธุรกิจใหม่ๆของ “จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่” อาทิเช่น ธุรกิจโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม และธุรกิจโฮมช้อปปิ้ง เป็นต้น จะต้องมีสัดส่วนมากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ “โจทย์พ่อว่าอย่างนั้น” ส่วนที่เหลือเป็นธุรกิจเพลงและเกี่ยวข้องกับเพลง ซึ่งปกติธุรกิจเพลงจะสร้างรายได้ให้บริษัทประมาณ 10,000 ล้านบาท
แผนเติบโตของ “จีเอ็มเอ็มแซท เทรดดิ้ง” เริ่มออกสตาร์ทตั้งแต่ปีก่อน ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีในแง่ของยอดขายกล่องรับสัญญาณดาวเทียม ส่วนในปี 2556 ตั้งใจจะมีรายได้รวมประมาณ 1,000-1,500 ล้านบาท และมียอดขายกล่องรับสัญญาณดาวเทียมประมาณ 2 ล้านกล่อง นับตั้งแต่เดือนพ.ค.2555 จนถึงปัจจุบันเรามียอดขายกล่องรับสัญญาณดาวเทียมแล้วประมาณ 1.8 ล้านกล่อง
ยอดขาย 2 ล้านกล่องภายในปี 2556 แบ่งเป็นกล่อง GMM Z Smart คิดเป็น 75 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายทั้งหมด ที่เหลือเป็นกล่อง GMM Z mini ประมาณ 300,000-400,000 กล่อง และกล่อง GMM Z HD ประมาณ 60,000-70,000 กล่อง เพิ่มขึ้นจากเป้าหมายเดิมที่ 50,000 กล่อง ทั้ง 2 กล่องคิดเป็นสัดส่วนเฉลี่ย 25 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายทั้งหมด
ถามถึงอนาคตยอดขายกล่องรับสัญญาณดาวเทียม? “ฟ้าใหม่” ตอบว่า ใจจริงอยากเห็นยอดขายขยายตัวเฉลี่ย 10-20 เปอร์เซ็นต์ ถามว่าอัตราเติบโตจะเป็นลักษณะนี้ทุกปีหรือไม่ ตอบลำบากเหมือนกัน เพราะตอนนี้ตลาดทีวีดาวเทียมฝุ่นคลุ้งไปหมดไม่รู้อะไรจะเกิดไม่เกิด
ดูอย่างช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เราขายกล่องได้น้อย เพราะทีวีดิจิตอลไม่มีความชัดเจน คนออกอาการไม่แน่ใจว่า หากมีทีวีดิจิตอลต้องเปลี่ยนกล่องสัญญาณดาวเทียมและโทรทัศน์หรือไม่ เท่าที่รู้ก่อนหน้านี้ยอดขายโทรทัศน์ลดลง 30 เปอร์เซ็นต์ และยอดขายกล่องสัญญาณดาวเทียมทั้งตลาดลดลง 50 เปอร์เซ็นต์
ระยะสั้นเราคงยังไม่ออกกล่องรับสัญญาณดาวเทียมแบบใหม่ เว้นแต่ว่า ตลาดมีการเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยีพัฒนาไปเรื่อยๆ ช่วงนี้เน้นการซื้อคอนเทนต์ใหม่ๆ ภายในปี 2556 ตั้งใจจะใช้เงินซื้อคอนเทนต์ประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อน
“อยากเห็นรายได้รวมปี 2557 เติบโตเฉลี่ย 20-30 เปอร์เซ็นต์ โดยจะมียอดขายกล่องรับสัญญาณดาวเทียมเติบโตเฉลี่ยปีละ 1 ล้านกล่องบวกๆ”
“ฟ้าใหม่” ไม่ลืมที่จะวิเคราะห์ตลาดทีวีดาวเทียมให้ฟังว่า วันนี้ต้องมองตลาดทีวีดาวเทียมออกเป็น 2 แบบ นั่นคือ 1.ตลาดกล่องรับสัญญาณดาวเทียม 2.ตลาดแฟลตฟอร์ม เมื่อก่อนคู่แข่งมีหลายรายมาก แต่เจ้าใหญ่ๆมีเพียงกล่อง PSI และกล่อง GMM Z ปัจจุบันทุกคนต่อสู้กันในเกมส์ขยาย “แฟลตฟอร์ม” มากกว่าเกมส์ “ขายกล่องรับสัญญาณดาวเทียม” แตกต่างจากในอดีตที่เน้นสู้กันเรื่องขายกล่องเป็นหลัก
กล่อง GMM Z โดดเด่นมากในเรื่อง “คอนเทนต์-แฟลตฟอร์ม-เทคโนโลยี” อย่างเรื่อง “คอนเทนต์-แฟลตฟอร์ม” บอกเลยเรา “ชนะเลิศ” ส่วนเรื่อง “เทคโนโลยี” ทุกคนเท่าเทียมกันหมด เพราะสั่งกล่องรับสัญญาณดาวเทียมมาจากเมืองจีนเหมือนกัน ปัจจุบันกล่อง GMM Z กินส่วนแบ่งการตลาดในด้านการขายกล่องเดือนละ 35 เปอร์เซ็นต์
เขาเล่าอีกหนึ่งโจทย์ที่สำคัญให้ฟังว่า ตอนนี้กำลัง “โฟกัส” ธุรกิจเพย์ทีวี อนาคตธุรกิจนี้มีโอกาสเติบโตมาก วันนี้เมืองไทยมีพื้นที่สำหรับธุรกิจเพย์ทีวีเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่เมืองนอกยึดพื้นที่มากถึง 80-90 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นช่องว่างการขยายตัวยังมีอีกเพียบ ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า “ผมเชื่อว่าธุรกิจเพย์ทีวีทั้งระบบจะมีสัดส่วนเพิ่มเป็น 50-60 เปอร์เซ็นต์”
วันนี้ธุรกิจเพย์ทีวีมีผู้เล่นเพียง 3 ราย นั่นคือ กล่อง GMM Z, กล่อง True และกล่อง CTH คงไม่มีใครลงมาทำเพิ่มเติมอีก ยกเว้นเกิด “อภินิหาร” ความยากของธุรกิจนี้อยู่ตรงที่คุณต้องมีคอนเทนต์ และแฟลตฟอร์มที่แน่นพอ ยิ่งตอนนี้ไทยคม 5-6 เต็มหมดแล้ว โอกาสเกิดผู้เล่นใหม่ๆคงยากมาก
“ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ” ย้ำว่า ตอนนี้ธุรกิจของ “จีเอ็มเอ็มแซท เทรดดิ้ง” อยู่ในช่วงของการลงทุน ฉะนั้นบริษัทยังคงต้องแสดงผล “ขาดทุน” ต่อไปอีก 2 ปี (2556-2557) กว่าจะมี “กำไร” น่าจะเป็นปี 2558 เร็วหน่อยอาจเห็นกำไรนิดหน่อยในช่วงไตรมาส 4/2556 หรือช้าสุดอาจมีกำไรปี 2559
เรารู้อยู่แล้วว่า บริษัทต้อง “ขาดทุน” ลักษณะนี้ กว่าจะเก็บเกี่ยวดอกผลได้ต้องใช้เวลา เราไม่ใช่ธุรกิจซื้อมาขายไป งานเราต้องสะสมลูกค้า แต่อีกไม่นานเราจะมีความเสถียรภาพทางการทำธุรกิจมากขึ้น อดใจรอหน่อยไม่นานหรอก
“ผมมักเล่างานต่างๆให้พ่อฟังทุกวันบนโต๊ะอาหาร เงินลงทุนของเรามหาศาล จำต้องบอกความคืบหน้าตลอด ปกติท่านเข้าเต็มตัวทุกเรื่อง”
“ฟ้าใหม่” ทิ้งท้ายบทสนทนาว่า “ปกติผมจะลงทุนในตลาดหุ้นเล็กน้อย ดูทั้งพอร์ตตัวเองและพอร์ตย่อยๆของครอบครัว แต่พักหลังๆยุ่งมากเลยไม่ได้เข้าไปดูหุ้น แต่จะหันมาซื้อกองทุนแทน ส่วนพอร์ตย่อยของครอบครัวมีคนดูแลอยู่แล้ว ปี 2555 ตลาดหุ้นดีมาก ผมเองก็ได้กำไรนิดหน่อย”