'ภีร์ ไล' ทายาทธุรกิจสิ่งทอ เริ่มต้นธุรกิจจากการเดินทาง

'ภีร์ ไล' ทายาทธุรกิจสิ่งทอ เริ่มต้นธุรกิจจากการเดินทาง

ทายาทเจ้าของธุรกิจสิ่งทอ “ภีร์ ไล” หนุ่ม (น้อย) วัยเพียง 26 ปี กับโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สุดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา “คณาพญา” มูลค่า 7,000

แม่น้ำเจ้าพระยาไหลเอื่อยๆ ทอดตัวผ่านคุ้งน้ำที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดและมีความกว้างมากที่สุดของสายน้ำที่เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ไหลผ่านใจกลางเมืองหลวงของประเทศ

จุดเดียวที่ยืนอยู่นี้คือจุดที่ใช้เป็นท่าจอดเรือยอร์ชสำหรับเศรษฐีลูกค้าคอนโดมิเนียมสุดหรูย่านพระราม 3 ด้านหน้าโครงการยังมีสระว่ายน้ำสีฟ้าขนาดใหญ่ทอดยาวขนานไปกับลำน้ำเจ้าพระยา ขณะที่ทางเข้าโครงการมีป้ายบ้านเลขที่ 888 ขนาดใหญ่บนแท่งคอนกรีตเด่นสะดุดตาผู้พบเห็น

แสงแดดช่วงสายๆ เริ่มเพิ่มอุณหภูมิจนต้องเดินหลบไอร้อนเข้ามานั่งรอ "ภีร์ ไล" หรือ "บิลเลี่ยน ไล" (Billion P. Lai) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คณาพญา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ทายาทคนที่ 2 วัย 26 ปี ของนักธุรกิจสิ่งทอกลุ่มบริษัท PSD Group of Companies ของ "สง่า สง่าเสริมทรัพย์" และ "อุไรรัตน์ ไล" ในวันที่ทายาทเติบโตเป็นผู้ใหญ่มีความรับผิดชอบสูง ผันตัวเองมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตามความชอบส่วนตัวในแบบฉบับคนรุ่นใหม่ที่อยากสร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง

ใบหน้าใส ของหนุ่มนักเรียนนอกผู้มีรสนิยมสุดคลาสสิก แต่งกายในสไตล์เรียบหรู วันนี้สวมสูทราคาแพง พาร่างที่สูงเกือบ 180 เซนติเมตร เดินเข้ามากลางห้องโถงซึ่งสถานที่จัดงานแถลงข่าว ที่ในอนาคตจะปรับพื้นที่ให้เป็น "House Club" สุดชิค

เขาแนะนำตัวเองว่า "บิล" ตามที่เพื่อนฝูงในต่างประเทศเรียกขาน บิลเล่าว่า สนใจในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มานาน ถึงกับดิ้นรนไปเรียนต่อจนจบจาก Glion Institute of Higher Education สาขาบริหารจัดการโรงแรม ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

วันนี้เขาสามารถทำความฝันเป็นจริงสมใจ

บิลมีพี่น้อง 5 คน โดยที่เขาเป็นลูกคนที่ 2 ของครอบครัว เขาเล่าว่า จุดเริ่มต้นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เกิดขึ้นจากความชื่นชอบการท่องเที่ยวในรูปแบบ Family Tour ร่วมกับสมาชิกในครอบครัว โดยที่เขาเองจะเป็นวางแผนการท่องเที่ยว จัดตารางเดินทาง จองตั๋วเครื่องบิน ค้นหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว และโรงแรมที่พักที่น่าสนใจ ด้วยตัวเองทั้งหมด สะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกความเป็น "ผู้นำ" ที่มาพร้อมด้วยแผนที่รัดกุม และจากประสบการณ์ท่องเที่ยวในระดับลักซูรี่นี้เอง ที่ทำให้เขาได้รับแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างมากในการเดินทางแต่ละครั้ง

จนกระทั่งสามารถเก็บเกี่ยวรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มาใส่ไว้ในโครงการสุดหรูริมเจ้าพระยาแห่งนี้

“พอดีครอบครัวเรามีที่ดินแปลงนี้ซึ่งซื้อทิ้งไว้นานแล้วประมาณ 11 ปี จำนวน 12 ไร่ ติดแม่น้ำเจ้าพระยาในย่านพระราม 3 ตอนนั้นยังไม่คิดว่าจะทำอะไรดี ก็มองๆ ดูอยู่ว่าควรจะพัฒนาที่ดินแปลงนี้เป็นอะไร จนมาลงตัวที่อสังหาริมทรัพย์ อีกอย่างผมสนใจเป็นการส่วนตัวด้วยจึงเสนอทางป๊า(พ่อ) ซึ่งครอบครัวเห็นดีด้วยก็เลยยกหน้าที่ให้ผมดูแลธุรกิจใหม่นี้”

หนุ่มบิล พูดน้อย สไตล์ถามคำตอบคำ ยังไขข้อข้องใจถึงที่มาที่ไปของชื่อบริษัทว่า “คณา” ย่อมาจากภาษาอังกฤษว่า Canal ที่แปลว่าคลอง ส่วนคำว่า “พญา” ก็มาจากคำว่า เจ้าพระยา ซึ่งก็คือแม่น้ำสายนี้ที่ไหลผ่านหน้าโครงการพอดี ก็เลยนำมารวมกันกลายเป็นชื่อเรียกสุดเก๋

บิล เล่าว่า โครงการนี้มีความแตกต่างจากโครงการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ จากความโดดเด่นด้านทำเล ของคุ้งน้ำเจ้าพระยาที่กว้างที่สุดถึง 500 เมตร ขณะที่ย่านเจริญกรุงที่ว่ากันว่าแม่น้ำกว้างสุดก็แค่ 300 เมตร

บิล บอกว่า "ซินแส" เคยมาดูพื้นที่ตรงนี้ให้และบอกว่าที่นี่ล่ะ "ท้องมังกร"

ทำเลนี้ยังไม่ไกลจากอ่าวไทยมาก ลูกค้ากระเป๋าหนักที่มีเรือยอร์ช ส่วนตัวสามารถขับเรือเล่นกินลมชมวิวไปได้ไกลถึงภาคตะวันออก ตามเส้นทาง กรุงเทพฯ-พัทยา-ระยอง-จันทบุรี-ตราด ที่ยังเชื่อมต่อไปยังชายทะเลภาคใต้ฝั่งตะวันออกที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ได้อีกด้วย

“ตรงนี้เราเริ่มทำเฟสแรกก่อน แค่เพียง 4 ไร่ ออกแบบเป็น Iconic Condominium เป็นอาคารสูง 57 ชั้น จำนวน 224 ยูนิต มูลค่าโครงการในเฟสแรกนี้อยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท และเฟสนี้ยังประกอบไปด้วย คณาพญา มารีน่า ยอร์ช คลับ ที่จะพัฒนาพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำให้เป็นท่าจอดเรือยอร์ชและเรือท่องเที่ยวขนาดใหญ่รองรับไลฟ์สไตล์ผู้ที่ชื่นชอบการพักผ่อนส่วนตัวด้วยการเดินทางท่องเที่ยวทางน้ำ”

สนนราคาขายเฉลี่ยที่ประมาณ 180,000 บาทต่อตารางเมตร โครงการนี้มีตั้งแต่ 1-3 ห้องนอน ขนาด 45-500 ตารางเมตร ราคาสูงสุดที่ประมาณ 115 ล้านบาท โดยกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนไทย 95% อีก 5% เป็นชาวต่างชาติที่เป็นคนเอเชียส่วนใหญ่ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซียและฮ่องกงที่สนใจเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยเพื่อการลงทุนระยะยาวรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ที่จะเกิดขึ้นในปลายปี 2558 บิลเล่า

ส่วนเฟสที่ 2 คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 3,300 ล้านบาท ตามแผนจะพัฒนาเป็น โรงแรมระดับห้าดาวรวมทั้งคอมมูนิตี้มอลล์ ซึ่งคาดว่าจะพัฒนาได้ครบทั้งหมดภายในช่วง 3 ปีนับจากนี้ (2557-2559) โดยมีมูลค่าการลงทุนรวมอยู่ที่ 7,000 ล้านบาท

“แหล่งเงินทุนบริษัทไม่มีปัญหา เพราะมีหลายแบงก์ยื่นข้อเสนอมาให้เรา หากใครมีเงื่อนไขดีกว่าก็คงต้องเลือกรายนั้น ตอนนี้บริษัทเรามียอดจองกว่า 20% แล้วคิดเป็นมูลค่า 500 ล้านบาท มั่นใจว่าจะสามารถปิดขายได้ภายในปีนี้"

หนุ่มบิลยังบอกว่า ครอบครัวค่อนข้างให้ความสนใจกับ "ฮวงจุ้ย" ที่บริษัทนำมาใส่ไว้ในโครงการแบบกลมกลืน เป็นการผสมผสานระหว่าง 6 ธาตุ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ และอีก 2 ธาตุ คือ ธาตุไม้ และธาตุทอง

“บนยอดตึกถ้าสังเกตดูดีๆ จะเห็นเป็นลูกคลื่นน้ำ สีที่ใช้ภายในก็ออกเป็นสีทอง ซึ่งเป็นสีมงคล อย่างบ้านเลขที่ถ้าสังเกตตอนเดินเข้ามาจะเห็นว่าบ้านเลขที่สวยมาก คือ 888 ซึ่งคนจีนถือว่าเป็นเลขมงคล แต่ถ้าคิดแบบฝรั่งเลขนี้มันคือ อินฟินิตี้ ไม่มีจุดสิ้นสุด สถานที่ตั้งก็อยู่ตรงท้องมังกรพอดี เชื่อกันว่าเป็นจุดที่มั่งคั่ง สามารถเก็บเงินเก็บทองได้ดีที่สุด" เขายิ้ม

เข้าทำนอง ท้องมังกร หน้าน้ำ หลังภูเขา ซึ่งตัวภูเขาเปรียบเสมือนความเขียวชอุ่ม หากมองออกไปจะพบว่ามีสวนพระราม 9 อยู่ตรงนั้นพอดี ส่วนธาตุไฟนั้น หนุ่มบิลบอกว่า “พระอาทิตย์” ที่ส่องอยู่บนท้องฟ้านั่นไง พร้อมหัวเราะ

บิลบอกว่า มีความมุ่งมั่นกับโครงการนี้มาก เพราะเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์โครงการแรกของบริษัท ซึ่งอนาคตมีที่ดินอีกแปลงที่กำลังศึกษาอยู่ว่าจะพัฒนาเป็นอะไรดี แต่คงต้องรอให้โครงการนี้ปิดขายให้หมดก่อน และที่แน่ๆ ก็คือ ทุกโครงการจะพยายามเน้นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ตามไลฟ์สไตล์ของคนหนุ่มที่ชอบความท้าทายแปลกใหม่ ค้นหาแรงบันดาลใจให้กับชีวิต