ถอดรหัสวุ้นเส้นระดับตำนาน "โรงงานวุ้นเส้นท่าเรือ"

กว่า60ปี ทียืนหยัดอยู่ในตลาดสร้างตำนานวุ้นเส้นสายพันธุ์ไทยครองใจมาจนถึงทุกวันนี้ ในยุคของทายาทรุ่น2พวกเขาพร้อมสานต่อพันธกิจนำธุรกิจสู่อนาคต
ชื่อของ “โรงงานวุ้นเส้นท่าเรือ” ผู้ผลิตวุ้นเส้นจากถั่วเขียวแท้ 100% “ตราสิงห์โต” คุ้นหูคนไทยมาหลายทศวรรษ
ธุรกิจระดับตำนาน สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2496 โดย “นายจู แซ่อึ้ง” คนจีนแผ่นดินใหญ่ ที่ข้ามน้ำข้ามทะเล มาเป็นจับกังอยู่สยามประเทศตั้งแต่อายุเพียง 15 ปี ภายหลังถูกชักชวนให้ไปทำงานในกิจการวุ้นเส้น ของ “นายเอื้อน กำปันทอง” ผู้ผลิตวุ้นเส้นรายแรกๆ ของไทย มีโรงงานอยู่ทั้งสะพานเหลือง ซอยอารีย์ บางนา เชียงใหม่ ตลอดจน กรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่า
“นายจู” ถูกส่งตัวไปเรียนรู้งานในหลายๆ ที่ รวมถึงที่ย่างกุ้ง และเรียนรู้งานอยู่พม่านานถึง 6 ปี ก่อนเกิดเหตุการณ์นายพลเนวิน ก่อรัฐประหาร กิจการที่เป็นเอกชนถูกยึดเป็นของรัฐทั้งหมด
เขาจึงเดินทางกลับมาประเทศไทย และยังทำงานอยู่ในกิจการวุ้นเส้นของนายเอื้อน จนกลับมาคิดว่า ถึงเวลาต้องมีกิจการเป็นของตัวเองเสียที ซึ่งประสบการณ์ในโรงงานวุ้นเส้นนับสิบปีนั้น ก็น่าจะเป็นต้นทุนชั้นดีในการเริ่มต้นของเขา
ที่มาของการก่อตั้งโรงงานวุ้นเส้นขึ้น ที่ ตำบลท่าเรือ จังหวัด กาญจนบุรี จนเป็นที่รู้จักในเวลาต่อมาว่า “โรงงานวุ้นเส้นท่าเรือ” วันนี้กิจการเล็กๆ สยายปีกมามีโรงงานทั้งที่ ตำบล ท่าเรือ กาญจนบุรี, ตำบล คลองขุง กำแพงเพชร และโรงงานวุ้นเส้นท่าเรือพระแท่น อำเภอท่ามะกา กาญจนบุรี มีกำลังการผลิตทั้ง 3 โรงงาน รวมกว่าสองตันต่อวัน มีศูนย์จำหน่ายสินค้าโรงงานวุ้นเส้นท่าเรือ ทั้งในกาญจนบุรีและกำแพงเพชร
นายจู เสียชีวิตไปเมื่อ 14 ปี ก่อน กิจการถูกส่งต่อสู่มือทายาทรุ่น 2 แบบเต็มตัว โดยแบ่งกันรับผิดชอบในแต่ละโรงงาน และยังรักษาความยิ่งใหญ่ของโรงงานวุ้นเส้นท่าเรือไว้ได้จนถึงทุกวันนี้
“วุ้นเส้นทั่วประเทศมีไม่น่าจะเกิน 20 แบรนด์ มูลค่าตลาดรวมกว่าพันล้านบาท สินค้าของเราราคาสูงกว่าตลาด 2 เท่า แต่กินส่วนแบ่งอยู่กว่า 50% ของตลาดวุ้นเส้น”
“ส่งเสริม อิสระกาญจน์กุล” ทายาทรุ่นสองโรงงานวุ้นเส้นท่าเรือ ผู้ดูแล “โรงงานวุ้นเส้นท่าเรือพระแท่น” บอกสถานการณ์ธุรกิจวุ้นเส้นของครอบครัว ที่ยังคงเติบใหญ่ในวันนี้
คอนเซ็ปต์ วุ้นเส้นผลิตจากถั่วเขียวแท้ 100% ยังเป็นจุดขายชั้นดีของตลาดที่ต้องการของ “คุณภาพ” และรับได้แม้ราคาอาจสูงกว่าท้องตลาด เพราะเป็นที่ทราบดีว่า วุ้นเส้นที่ดี ต้องเส้นใส ไม่ขุ่น เหนียวนุ่ม ปรุงเสร็จต้องเก็บไว้ได้นาน ไม่อืด ไม่เละ ผู้ป่วยที่จำกัดเรื่องอาหาร ก็สามารถรับประทานได้
เจ้าไหนเลือกผสมวัตถุดิบอย่างอื่น เพื่อ “ลดต้นทุน” วุ้นเส้นก็จะไม่สามารถตอบโจทย์เหล่านี้
“เตี่ยพูดมาตลอดว่า ที่เรามีชื่อเสียงขึ้นมาได้ เพราะ ‘ความซื่อสัตย์’ เมื่อบอกว่าจะใช้แป้งถั่วเขียวแท้ 100% เราก็ต้องทำให้ได้ แม้บางช่วงถั่วเขียวราคาแพงมาก ท่านก็ไม่ฉวยโอกาสเอาแป้งอื่นมาผสมเพื่อลดต้นทุน ผมจำได้ว่าบางช่วงถึงขั้นต้องปิดโรงงานชั่วคราวเพราะถั่วเขียวแพง”
ทายาทรุ่นสอง บอกการตัดสินใจ “ปิดโรงงานชั่วคราว” ของคนรุ่นหนึ่ง เพื่อจะรักษา “ความซื่อสัตย์” ให้คงอยู่ในธุรกิจต่อไปได้ หลายครั้งที่หลายคนแนะนำให้เตี่ยของเขาเปลี่ยนวิธีคิด ลองผสมแป้งชนิดอื่นดูบ้าง เพื่อจะได้ผลิตสินค้าให้ต่อเนื่อง สิ่งที่เตี่ยของเขาตอบกลับทุกคนมีแค่..
“ทำอย่างนั้น มันก็ไม่ซื่อสัตย์กับลูกค้า”
ความจริงใจและชัดเจน ทำให้เกิดกระแสบอกต่อ ปากต่อปาก จนผลิตภัณฑ์วุ้นเส้นท่าเรือ “ตราสิงห์โต” เป็นที่รู้จักของลูกค้าตลอดหลายทศวรรษ โดยไม่ต้องทุ่มงบโฆษณาเหมือนที่หลายแบรนด์เลือกทำ แต่ยังคงเป็นที่ต้องการและยอมรับ
โรงงานน้องสุดท้อง ของตระกูลวุ้นเส้นท่าเรือ คือ “โรงงานวุ้นเส้นท่าเรือพระแท่น” ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2550 โดยใช้ทุนส่วนตัว ซื้อที่ดิน จากนั้นก็กู้เงินจากธนาคารพาณิชย์เพื่อสร้างโรงงานและหน้าร้าน ดำเนินการมา 3 ปี พบว่า ความต้องการวุ้นเส้นยังคงมีมาก และกำลังการผลิตชักจะ “ไม่พอ” จึงขอสินเชื่อจากเอสเอ็มอีแบงก์ โดยก้อนแรกใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนจำนวน 5 ล้านบาท และเตรียมขอสินเชื่อเพิ่มอีก 50 ล้านบาท สำหรับขยายโรงงาน เพิ่มกำลังการผลิต
กระบวนการผลิตในโรงงานแห่งนี้ ยังใช้วิธีดั้งเดิมเป็นหลัก เห็นได้จากการเลือกใช้ “แรงคน” ในแทบทุกกระบวนการผลิต พึ่งพาแสงแดดจากธรรมชาติ แทนการใช้ตู้อบ เพราะการปล่อยให้แห้งตามธรรมชาติ จะทำให้ได้เส้นที่ไม่กระด้าง
เขาว่า บางครั้งการทำวุ้นเส้น ถ้าเปรียบเทียบเรื่องคุณภาพแล้ว การใช้ “เครื่องจักร” ยังสู้ใช้มือทำ ใช้คนทำไม่ได้
เพราะ “ทุนน้อย” เลยไม่สามารถซื้อถั่วเขียวมากักตุนไว้ได้ครั้งละมากๆ เลยต้องใช้วิธี “ซื้อตามกำลังใช้” เขาบอกว่า ข้อดีคือ ได้ถั่วเขียวคุณภาพดี ไม่เสื่อมสภาพ มาผลิตวุ้นเส้นที่ให้คุณภาพดีตามไปด้วย และนั่นก็น่าจะคงรักษาจุดเด่นของสินค้า ไว้ได้เหมือนคนรุ่นพ่อ
นอกจากวุ้นเส้น โรงงานที่นี่ ยังผลิตแป้งถั่วเขียว และซ่าหริ่ม ขณะที่ศูนย์จำหน่ายสินค้า ยังมีผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของจังหวัดรวมอยู่ด้วย กลายเป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยว และคนที่อยากซื้อวุ้นเส้นคุณภาพไปเป็นของฝาก ของรับประทาน จนกิจการหน้าร้านเป็นรายได้หลักถึง 60% ขณะที่ “ความซื่อสัตย์” และจุดยืนด้านการรักษาคุณภาพสินค้า ที่ไม่ผิดเพี้ยนไปจากคนรุ่นพ่อ ทำให้กิจการยังเติบโตขึ้นทุกปี ปีละไม่ต่ำกว่า 20%
ถามถึงเป้าหมายในอนาคต ทายาทรุ่นสองยอมรับว่า การแข่งขันทุกวันนี้รุนแรงขึ้นมาก แต่พวกเขาก็ยังมุ่งมั่นที่จะรักษาจุดยืนด้านคุณภาพในการทำธุรกิจไว้ รวมถึงการผลิตวุ้นเส้นให้ได้เพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค โดยมองที่จะขยายกำลังการผลิตขึ้นอีกในอนาคต รวมถึงทำผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐาน มีความหลากหลาย การพัฒนาวุ้นเส้นเป็นผลิตภัณฑ์ปรุงสำเร็จ พร้อมรับประทานเหมือนอย่างบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป การขยายตลาดให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และขยับไปสู่ตลาดต่างประเทศ ถ้ามีโอกาสในอนาคตอันใกล้ ซึ่งทั้งหมดล้วนอยู่ในแผนการของเหล่าทายาท
ถามถึงแนวคิดในการทำธุรกิจ ทายาทโรงงานวุ้นเส้นท่าเรือ บอกเราว่า ต้องทำธุรกิจบนความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์ เอาใจใส่ แม้เป็นเถ้าแก่ แต่ก็ต้องลงไปดูแลการทำวุ้นเส้นด้วยตัวเอง ขณะที่ไม่ได้มองพนักงานเป็นแค่ลูกจ้าง แต่นิยามคนของเขาว่า “หุ้นส่วน” เบื้องหลังที่ทำให้วุ้นเส้นคุณภาพดีจนเป็นที่ยอมรับของลูกค้า และโรงงานวุ้นเส้นท่าเรือมีชื่อเสียงขึ้นมาได้อย่างวันนี้
ก่อนล่ำลา “ส่งเสริม” หยิบวุ้นเส้นที่มีอายุกว่า 10 ปี มาให้พวกเราได้ชื่นชม เพื่อระลึกถึง “คุณพ่อจู แซ่อึ้ง” และ “คุณแม่ บัวคำ อิสระกาญจน์กุล” ผู้ให้กำเนิดธุรกิจนี้เมื่อกว่า 60 ปีที่ผ่านมา
สิ่งซึ่งแฝงอยู่ในวุ้นเส้น มีค่ามากกว่าความภาคภูมิใจ นั่นคือ คำสอนของคนรุ่นพ่อ ที่ย้ำเตือนพวกเขาว่า...ธุรกิจจะยั่งยืนได้ ไม่สลายไปกับกาลเวลา ด้วยคำว่า “ซื่อสัตย์” คำเดียวเท่านั้น
“””””””””””””””””””””””””
Key success
สูตรยั่งยืน 6 ทศวรรษ โรงงานวุ้นเส้นท่าเรือ
๐ ความซื่อสัตย์ คือ หัวใจในการทำธุรกิจ
๐ ผลิตวุ้นเส้นคุณภาพจากถั่วเขียวแท้ 100%
๐ คงวิธีการดั้งเดิม รักษาคุณภาพทุกขั้นตอน
๐ แตกไลน์ผลิตภัณฑ์ที่มีโอกาส
๐ เถ้าแก่ดูแลการทำงานทุกขั้นตอน
๐ พนักงานไม่ใช่ลูกจ้าง แต่คือ "หุ้นส่วน"