'สิงห์'ดึงที่ปรึกษาระดับโลกจัดทัพธุรกิจ

ค่ายเบียร์สิงห์ ดึงที่ปรึกษาระดับโลก "BAIN" ปรับโครงสร้างระลอก3ในรอบ84ปี จัดทัพธุรกิจดันยอดขายเท่าตัวทุก5ปี ประเดิมรอบแรก2แสนล.
พร้อมรุกเดินหน้าเจรจาพาร์ทเนอร์ทั่วโลก เน้น "บิ๊กเนม" อันดับ 1-2 ในแต่ละธุรกิจ เล็งผนึกพันธมิตรเอเชีย ปูทางสู่เวทีโลก ยันไร้แผนเข้าตลาดหุ้น
ขณะที่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลายธุรกิจจะชะลอการลงทุน จากปัจจัยลบนานัปการ เป็นโอกาสดีที่องค์กรเหล่านี้จะหันมา "จัดระเบียบ" ธุรกิจรับกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในอนาคต โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่ ยอดขายแสนล้าน อย่างสิงห์ คอร์เปอเรชั่น ธุรกิจของตระกูลภิรมย์ภักดี
นายภูริต ภิรมย์ภักดี กรรมการบริหารและผู้อำนวยการสายการตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์นอนแอลกอฮอล์ บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด หนึ่งในทายาทธุรกิจ เปิดเผยว่า เมื่อต้นปีที่ผ่านมา สิงห์ได้ดึงบริษัท เบน แอนด์ คัมปะนี จำกัด (Bain & Company) ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจที่ปรึกษาและการจัดการธุรกิจระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา เข้ามาเป็นที่ปรึกษาธุรกิจ ในการปรับโครงสร้าง วางกลยุทธ์ และสร้างสายสัมพันธ์ (คอนเนคชั่น) กับพันธมิตรทางธุรกิจ ขับเคลื่อนกลุ่มสิงห์สู่เวทีโลก
ทั้งนี้ เบนฯ ยังจะเป็นช่องทางสำคัญในการนำพันธมิตรทางธุรกิจมาเสนอ โดยสิงห์ได้แจ้งความประสงค์ว่าสนใจที่จะเป็นพันธมิตรและร่วมทุนกับบริษัทที่อยู่ในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (Food and Beverage : F&B) โดยคุณสมบัติเด่นของพันธมิตร จะต้องเป็นยักษ์ใหญ่อันดับ 1 หรือ 2 ของธุรกิจนั้นๆ เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส จริงใจ ไม่มีประวัติเสื่อมเสีย ที่สำคัญคือจะต้องไม่ดำเนินธุรกิจที่ผิดกฎหมายเพื่อป้องกันเรื่องเสื่อมเสียมาถึงองค์กรที่มีอายุกว่า 80 ปีอย่างสิงห์
"ตอนนี้เราเจรจากับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศอยู่หลายดีล ทั้งรูปแบบที่สิงห์สนใจไปเจรจาเอง และเบนฯเป็นผู้เสนอมาให้ โดยจะเปิดกว้างในการเจรจา แต่หากเป็นไปได้จะเจรจาแค่บริษัท 1 ใน 2 อันดับแรก (TOP2) ของธุรกิจนั้นๆ นี่คือ นโยบายที่คุณสันติ ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บุญรอดบริวเวอรี่ ให้ไว้"
อนึ่ง บริษัท เบนฯ มีสำนักงาน 50 แห่ง ใน 32 ประเทศทั่วโลก และทำงานร่วมกับบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกมากกว่า 500 บริษัท และ องค์กรท้องถิ่น องค์กรระดับภูมิภาค กว่า 1,000 แห่ง เป็นตัวแทนผู้จัดการกองทุนส่วนบุคคล (ไพรเวท ฟันด์) คิดเป็นสัดส่วน 75% ของเงินทุนทั่วโลก ในส่วนของสิงห์ ที่ผ่านมาได้ร่วมทุนกับบริษัท มิตซุย ฟุโดซัง (เอเชีย) ยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์ ร่วมทุนกับบริษัท มารุเซน ผู้ผลิตวัตถุดิบชาเขียว และธุรกิจร้านอาหารรายใหญ่จากญี่ปุ่น รายใหญ่ 1 ใน 3 ของประเทศญี่ปุ่น
ดันรายได้เพิ่มเท่าตัวทุก 5 ปี
ทั้งนี้ การดึงบริษัทเบนฯ มาเป็นที่ปรึกษา ยังถือเป็นการปรับโครงสร้างทางธุรกิจครั้งใหญ่รอบที่ 3 ภายในระยะเวลา 84 ปีของการก่อตั้งบริษัท นอกจากนี้สิงห์ยังตั้งธรรมนูญครอบครัวเป็นครั้งแรก เพื่อให้ทายาทตระกูล "ภิรมย์ภักดี" เข้ามาดูแลธุรกิจร่วมกันและแบ่งผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน
ก่อนหน้านี้ สิงห์เคยปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งแรกเมื่อปี 2549 ด้วยการก่อตั้งบริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด เพื่อดูแลธุรกิจเครื่องดื่มของบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด รวมทั้งสแน็ก ข้าวถุง และบริหารโรงเบียร์ เป็นต้น และครั้งที่ 2 การแตกไลน์สู่ธุรกิจใหม่ๆ มากขึ้น เช่น ธุรกิจโรงไฟฟ้า และ เสื้อผ้า เป็นต้น รวมถึงปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจแอลกอฮอล์และนอนแอลกอฮอล์แยกออกจากกัน จนมาถึงการปรับโครงสร้างธุรกิจ ครั้งล่าสุด
ทั้งนี้ หากสิ้นปี 2557 สิงห์ปรับโครงสร้างธุรกิจรอบ 3 แล้วเสร็จ คาดว่าจะช่วยผลักดันยอดขายให้เติบโต "เท่าตัว" หรือดับเบิลยอดขายภายใน 5 ปีข้างหน้า หรือคิดเป็นยอดขาย 200,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มียอดขายกว่า 100,000 ล้านบาท สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ที่วางไว้ว่าทุกๆ 5 ปี ยอดขายจะต้องเติบโตเป็นดับเบิล และภายใน 15 ปี จะมีรายได้แตะระดับ 1 ล้านล้านบาท
"เบนฯ เป็นบริษัทที่จัดระเบียบให้กับองค์กรธุรกิจทั่วโลกทั้งในสหรัฐ ยุโรป โดยสิ่งที่เขาทำให้กับหลายบริษัทคือตัวเลขยอดขายที่ดับเบิลใน 5 ปี หรือทริปเปิล (3เท่า) เมื่อต้นปีเราได้ดึงมาเป็นที่ปรึกษาเพื่อช่วยแบ่งพอร์ต ธุรกิจของสิงห์ให้ชัดเจนมากขึ้น เพราะทุกๆ 5 ปี สิงห์ต้องการดับเบิลรายได้เป็นเท่าตัว"
ชู 5 เสาหลักธุรกิจปั๊มรายได้
กรรมการบริหารและผู้อำนวยการสายการตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์นอนแอลกอฮอล์ ยังกล่าวถึงทิศทางการขับเคลื่อนธุรกิจของสิงห์นับจากนี้ว่า จะมาจาก 5 ธุรกิจหลัก ได้แก่ แอลกอฮอล์, นอนแอลกอฮอล์, อสังหาริมทรัพย์, เวนเจอร์ โค (การร่วมทุนและประสานธุรกิจภายใต้การดำเนินงานของเบนฯ) และการผลิตบรรจุภัณฑ์ (แพ็คเกจจิ้ง) ซึ่งอนาคตเวนเจอร์ โค จะมีบทบาทสำคัญมากสำหรับสิงห์ เพราะหากเจรจาร่วมทุน ซื้อและควบรวมกิจการ(M&A) แล้วเสร็จ โดยแต่ละดีลใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน
ปัจจุบัน สิงห์มีธุรกิจในเครือทั้งสิ้น 64 บริษัท เพิ่มขึ้นจาก 5 ปีก่อนที่มีบริษัทในเครือกว่า 20 บริษัท และรายได้กว่า 1 แสนล้านบาท โดยมีรายได้หลักจากธุรกิจเบียร์หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสัดส่วน 80% และนอนแอลกอฮอล์อยู่ที่ 20% โดย 1-2 ปีข้างหน้า คาดว่ารายได้จากนอนแอลกอฮอล์จะเพิ่มเป็น 30% ตามเป้าหมายที่วางไว้
"5 ธุรกิจหลักคือทิศทางของสิงห์ในอนาคต โดยเวนเจอร์โคจะมีบทบาทสร้างการเติบโตอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันธุรกิจที่อยู่ภายใต้เวนเจอร์โค ได้แก่ เสื้อผ้า และบริษัทยังไม่มีการนำรายได้มารวมกัน (คอนโซลิเดท) ส่วนแนวทางการดีลธุรกิจของสิงห์ ไม่จำเป็นว่าสิงห์จะต้องถือหุ้นใหญ่ 70% ถือ 30% ก็ได้ ขอให้สบายใจทั้ง 2 ฝ่าย และจะไม่เทคโอเวอร์เพื่อเข้าไปใหญ่ แต่จะมุ่งซินเนอร์ยี (ร่วมกัน) ทำให้หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสาม ให้บริษัทมีความแข็งแรงยิ่งขึ้น"
ยันไม่มีแผนเข้าตลาดหลักทรัพย์
อย่างไรก็ตาม แม้สิงห์จะอยู่ระหว่างดีลธุรกิจจำนวนมาก แต่ก็ไม่มีแผนจะนำบริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯเพื่อระดมทุน โดยยืนยันว่าบริษัทยังมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และหากจำเป็นต้องใช้งบลงทุนจำนวนมาก ก็สามารถขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศได้
"เราเกิดมาจากธุรกิจครอบครัว บริหารงานอย่างครบครัน ขณะที่การเข้าตลาดหลักทรัพย์นั้น ถือเป็นความเสี่ยงสูง"
สำหรับภาพรวมรายได้ของสิงห์ในครึ่งปีแรกของปี 2557 ยอมรับว่า เติบโตต่ำกว่าเป้า จากปัจจัยลบรอบด้าน โดยสินค้าที่ยอดขายลดลง ได้แก่ น้ำดื่มสิงห์ เติบโต 15% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 30% โซดาสิงห์ ติดลบ 10% เบียร์เติบโต 1.5% มาชิตะเติบโต 5% ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้โต 12% ขณะที่กลุ่มสินค้าที่มีการเติบโต ได้แก่ เครื่องดื่มบีอิ้ง โต 40% เป็นต้น โดยภาพรวมธุรกิจนอนแอลกอฮอล์เติบโต 6-7% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
ส่วนผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง บริษัทวางแผนจะทำตลาดต่อเนื่อง สอดรับกับสถานการณ์การเมือง เศรษฐกิจและกำลังซื้อที่นิ่งขึ้น รวมทั้งจัดแคมเปญต้อนรับมหกรรมการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 การขยายธุรกิจร้านอาหาร EST.33 เพิ่มเติม เพื่อผลักดันยอดขายสิ้นปีนี้ให้อยู่ที่ระดับ 1.1-1.2 แสนล้านบาท เติบโต 10-15%
ขณะเดียวกัน เร็วๆ นี้จะมีการประชุมใหญ่ประจำปีของบริษัท เพื่อทบทวนแผนธุรกิจ เป้าหมายยอดขาย งบการเงิน หลังจากครึ่งปีแรกยอดขายต่ำกว่าเป้าหมายและการใช้งบประมาณทางการตลาดไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้
"จากปัญหาทางการเมืองเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัทต้องปรับแผนธุรกิจ ตลอดจนกลยุทธ์การทำตลาดเป็นรายเดือนและย่อยลงมาเป็นรายสัปดาห์ และรายวัน แต่หลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาทำหน้าที่บริหารประเทศ เชื่อว่าจะทำให้สถานการณ์ในประเทศปรับตัวดีขึ้น เอื้อต่อการขับเคลื่อนธุรกิจ และวางแผนธุรกิจได้เป็นรายไตรมาส ส่วนยอดขายไตรมาสแรกที่ต่ำกว่าเป้านั้น ในขณะนี้บริษัทยังไม่มีแผนจะปรับเป้าหมายยอดขาย โดยจะคงไว้เพื่อท้าทายตัวเอง" นายภูริต กล่าว