'ฟาร์มโชคชัย'จ่อบุกพม่าและมาเลย์

"ฟาร์มโชคชัย"ลุยลงทุนพม่า - มาเลเซีย หวังกระจายความเสี่ยงในประเทศ ระบุไม่มีแผนเข้าตลาดหุ้น
นายโชค บูลกุล กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทฟาร์มโชคชัย เปิดเผยว่า บริษัท มีแผนการลงทุนในต่างประเทศ ได้แก่ พม่า และมาเลเซีย โดยบริษัทจะเข้าไปสร้างโมเดลธุรกิจฟาร์มโคนม โดยร่วมมือกับรัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศ เพื่อเป็นผู้ให้ความรู้การทำธุรกิจโคนมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยที่พม่าคาดว่ายังไม่สามารถสรุปการเจรจาได้ในเร็ววันนี้ เนื่องจากติดทางด้านกฎหมายกับทางรัฐบาล ส่วนที่ประเทศมาเลเซียคาดว่าจะเห็นได้ในปีนี้ ซึ่งการขยายธุรกิจฟาร์มโคนมไปยังต่างประเทศบริษัทฯ มองว่าเป็นการกระจายความเสี่ยง และธุรกิจดังกล่าวเป็นธุรกิจที่มีความยาก ซึ่งในประเทศบริษัทฯ ไม่มีคู่แข่ง และมองว่าพม่าและมาเลเซียยังไม่มีทรัพยากรหลักทางด้านนี้
"เรามองว่าอุตสาหกรรมนี้เป็นอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างยาก เนื่องจากในประเทศไทยเราไม่มีคู่แข่งเพราะหลายคนหันไปทำธุรกิจที่ได้เงินเข้ามาง่ายมากกว่า และเป็นการขยายการลงทุนไปสู่ AEC ซึ่งการผูกสัญญากับรัฐบาลของแต่ละประเทศจะใช้ระยะเวลานานราว 12 ปีขึ้นไป โดยเริ่มแรกเราจะเข้าไปสอนการทำฟาร์ม ซึ่งหลังจากนั้นหากหมดสัญญาทางประเทศดังกล่าวต้องประกอบธุรกิจด้วยตนเอง" นายโชค กล่าว
นายโชค กล่าวว่า บริษัท ไม่มีแผนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากมีเงินทุนที่เพียงพอต่อการประกอบธุรกิจแต่ไม่ได้มองข้าม ซึ่งหากในอนาคตมีโอกาสบริษัทฯ จะพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า สถานการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมาได้กระทบต่อธุรกิจของบริษัท และไม่ใช่เพียงเท่านี้เพราะว่าก่อนหน้านี้หลายปีก็ต้องเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นและกระทบต่อบริษัทฯ ไม่ว่าจะเป็นปี 2553 ที่เผชิญกับวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ และอีกหลายเหตุการณ์ในปีถัดมา ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และปัญหาทางการเมือง โดยเฉพาะปัญหาเรื่องค่าแรงที่กระทบกับธุรกิจการเกษตรและท่องเที่ยวของฟาร์มโชคชัย เนื่องจากมีพนักงานราว 1,200 คน
ดังนั้นในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ที่ต้องเผชิญกับหลายปัจจัยเสี่ยง ทำให้ภาพรวมของธุรกิจบริษัทฯชะลอลงราว 20%จากระดับปกติที่มีรายได้เฉลี่ยต่อปีอยู่ในระดับหลายพันล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้เน้นการบริหารต้นทุนเพื่อลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้น จึงมองว่ารายได้ปีนี้อาจไม่สูงมากนัก แต่มองว่าคงไม่ขาดทุน
ปัจจุบัน กลุ่มบริษัทฟาร์มโชคชัย มีรายได้จาก 3 กลุ่ม คือ ธุรกิจรีเทล 40% ธุรกิจท่องเที่ยวฟาร์ม 30% และธุรกิจการขายสินค้าจากฟาร์ม 30% โดยธุรกิจรีเทลมีกำไรมากที่สุด โดยมีอัตรากำไรสุทธิประมาณ 12-13%