ภูจินดา 'สุข' เท่ากับ 'กำไร'

เพราะเจอกับโจทย์หนักเลยได้บทเรียนว่า ความสำเร็จที่แท้จริงของธุรกิจไม่ได้มาจาก'ผลกำไร' แต่คือ 'ความสุข'
“เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี’54 ธุรกิจของผมได้รับผลกระทบหนักมาก มูลค่าความเสียหายนับสิบล้านบาท ตอนนั้นเงินก็พอมีนะ แต่ทำไมถึงไม่มีความสุขเลย ผมเห็นแม่นั่งร้องไห้ทุกวัน สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้ในตอนนั้น คือ 'ยิ่งมีมาก ยิ่งทุกข์มาก'”
“เอ้-นนทวัชร์ อนันต์พรจินดา” พิธีกรและผู้ประกอบการ อดีตเจ้าของผลิตภัณฑ์ เอ็มเฮิร์บ (M herb) สินค้าเพื่อการดูแลผิวพรรณและสุขภาพ สะท้อนความคิดเมื่อธุรกิจที่สร้างมากว่าสิบปี (ก่อตั้งในปี 2546) ต้องเผชิญกับความเสียหายครั้งใหญ่จากเหตุการณ์น้ำท่วมหนักปี 2554 ชะตากรรมเดียวกับเอสเอ็มอีหลายราย
ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ มีรายได้นับ 20 ล้านบาทต่อปี กลับเข้าสู่สภาวะที่เรียกว่า “มืดแปดด้าน” มองไม่เห็นทางออก เห็นแต่ “ทุกข์” กับคำถามซ้ำๆ ที่โยนใส่ตัวเองว่า ‘ทำไมต้องเป็นเรา?’
“วันหนึ่งได้เห็นป้ายที่วัด เขียนว่า ‘ไม่มีใครที่ทุกข์ตลอด ไม่มีใครที่สุขตลอด’ ตอนนั้นเห็นอย่างนั้น แต่พอกลับไปอีกทีพบว่า ข้อความเขียนว่า ‘ไม่มีใครที่สุขตลอด ไม่มีใครที่ทุกข์ตลอด’ เห็นไหม ในตอนมีปัญหาผมเห็น ทุกข์ มาก่อน ทั้งๆ ที่ป้ายเขียน ‘สุข’ มาก่อนด้วยซ้ำ”
ธุรกิจแย่ ชีวิตจมทุกข์ ครอบครัวไม่มีความสุข เจ้าตัวเครียดหนัก จนตรวจสุขภาพแล้วพบว่า มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้าย แต่ทุกข์หนักที่ถาโถมเหล่านั้น คือ “จุดเปลี่ยน” ชีวิตสำคัญของเขา
เหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพ ทำให้ตัดสินใจย้ายครอบครัวหนีน้ำไปอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ การได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ กลับทำให้เกิดความประทับใจ จากการเป็นเมืองที่น่าอยู่ อากาศดี นอกจากการหนีน้ำ เลยได้ "สุขภาพที่ดี" กลับมาด้วย
เขาได้คำตอบบางอย่างให้ชีวิตว่า สิ่งสำคัญไปกว่า ความร่ำรวย ชื่อเสียง เงินทอง ก็คือ การมีสุขภาพที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ
“ในอดีต ผมทำธุรกิจตามกระแส ไม่ได้เกิดจากความอยากทำธุรกิจนั้นจริงๆ ก็แค่อยากมีเหมือนคนอื่น อยากได้ อยากเป็น จนตอนนี้ผมรู้แล้วว่า ผมต้องการทำธุรกิจที่แค่ทำให้ผมในฐานะเจ้าของสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข เท่านั้นพอแล้ว”
นั่นคือที่มาของการตัดสินใจขายทุกอย่างทิ้ง แม้กระทั่งธุรกิจเดิมที่ก่อตั้งมากับมือ เพื่อเริ่มต้นใหม่กับธุรกิจสุขภาพ ที่ชื่อ “ภูจินดา ศูนย์การเรียนรู้ 108” (www.facebook.com/phuchinda ) ที่ ต.บ้านช้าง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเพิ่งเปิดดำเนินการไปสดๆ ร้อนๆ ในปีนี้
ที่นี่ฉีกตัวเองจากรีสอร์ทเพื่อการท่องเที่ยวที่มีอยู่ล้นเมืองเชียงใหม่ ด้วยการเป็นสถานที่สำหรับพักผ่อน ท่องเที่ยว และดูแลสุขภาพ กับโปรแกรมสุขภาพ “ปรับชีวิต ล้างพิษ ฟิตสุขภาพ” บำบัดทั้งร่างกายและจิตใจ ในรูปแบบของคอร์สสุขภาพ ซึ่งคิดค้นขึ้นเพื่อสร้างความแตกต่าง และรองรับกลุ่มลูกค้าผู้รักสุขภาพโดยเฉพาะ
สิ่งที่น่าสนใจของ “ภูจินดา” คือมุมคิดที่ไม่ได้มีเพียง “ธุรกิจ” แต่คือ การคิดตอบแทนสังคมในทุกมิติ
เริ่มจากการทำให้ที่นี่ เป็นโครงการสำหรับศึกษาเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชนเผ่า อย่าง ชาวเขาเผ่า อาข่า ลีซอ และไทยใหญ่ เผยแพร่ความเป็นวิถีของชนเผ่าออกไปสู่สังคมวงกว้าง โครงการบนพื้นที่นับ 30 ไร่ มีจุดยืนชัดเจนที่จะไม่รบกวนธรรมชาติ โดยพยายามรักษาต้นไม้ไว้ให้ได้มากที่สุด ไม่ทำลาย ไม่โค่นทิ้ง ในพื้นที่มีการปลูกพืชผักออแกนิกส์ และจัดสรรพื้นที่ตามทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง ผลผลิตส่วนหนึ่งนำมาใช้ในรีสอร์ท ทำผลิตภัณฑ์ที่สร้าง “จุดขาย” ให้กับที่นี่ ที่เหลือเอาไว้ขาย เพื่อเป็นรายได้เข้ามาจุนเจือกิจการ หนึ่งกิจกรรมของนักท่องเที่ยว คือการร่วมปลูกป่า เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับรีสอร์ท และปลูกฝังจิตสำนึกรักป่าให้กับนักท่องเที่ยว ที่ภูจินดาที่ธรรมะเยียวยาจิตใจ ไม่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เลือกทำรีสอร์ทขนาดเล็ก รับลูกค้าได้เพียงครั้งละ 20 คน เดือนละ 2 ครั้ง เพื่อให้ดูแลผู้ใช้บริการได้อย่างดีที่สุด ขณะที่รายได้จากการทำธุรกิจ ก็มีปณิธานชัดเจนที่จะแบ่งส่วนหนึ่งคืนกำไรให้กับสังคม เช่น สนับสนุนทุนอาหารกลางวันเด็กด้อยโอกาส เป็นต้น
ทว่าทำแบบนี้แล้วเมื่อไรธุรกิจถึงจะคืนทุน?
"เงินที่ลงทุนไป ผมไม่ได้คิดว่า จะต้องคืนทุนนะ เพราะตลอด 22 ปี ที่ทำงานมา ผมได้โอกาสจากสังคมเยอะมาก มีเงิน มีรายได้ มีอะไรหลายๆ อย่าง ที่อยากได้ มีครอบครัวที่มีความสุข เพราะสังคมให้โอกาส ฉะนั้นได้เวลาที่ต้องคืนให้กับสังคมบ้าง”
เขาสะท้อนการคิดใหม่ที่ไม่ได้มองแต่ตัวเอง แต่มี “สังคม”เป็นตัวตั้ง
ก่อนอธิบายว่า การทำธุรกิจให้พออยู่ได้ ก็คือ สามารถมีรายได้ที่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย ซึ่งต้องใช้ไปในแต่ละเดือน เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าพนักงาน ธุรกิจต้องอยู่ได้ไม่ “ขาดทุน” และสามารถ ทำให้กับสังคมได้โดยไม่ต้อง “ควักเนื้อ”
หนึ่งแนวทางป้องกันความเสี่ยงเรื่องรายได้ คือการเลือกปลูกพืชเกษตรไว้ในรีสอร์ท เพื่อที่เมื่อวันใดไม่มีลูกค้าเข้ามา ก็ยังมีผลผลิตทางการเกษตรเหล่านี้ ไว้จำหน่ายเป็นรายได้ให้กับรีสอร์ท ที่สำคัญไม่ใช่ขายผลผลิตสด เพราะคงแข่งกับเกษตรกรรายอื่นไม่ได้ แต่จะเน้นนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น เค้กกล้วยหอมภูจินดา เค้กลำไยภูจินดา เหล่านี้ เพื่อ “เพิ่มมูลค่า” ให้กับที่นี่ กับสินค้าดีๆ ที่ไม่มีจำหน่ายที่ไหน และไม่ได้ทำออกมามากมายเพื่อ "ความพิเศษ"
ใช้เงินลงทุนในธุรกิจใหม่ไปนับ 30 ล้านบาท และไม่มีธุรกิจสำรองมาป้องกันความเสี่ยงอีกแล้ว แถมยังบอกว่าไม่ได้หวังว่าจะต้องคืนทุนหรือไม่คืนทุน เจ้าตัวสะท้อนความคิดให้ฟังว่า..
“ผมใช้เงิน 30 ล้านบาท ในการรักษามะเร็ง ใช้เงิน 30 ล้านบาท แลกกับสุขภาพที่ดี ใช้เงิน 30 ล้านบาท ในการต่อลมหายใจของตัวเอง สำหรับผมคิดว่า คุ้มแล้ว”
ความคุ้มค่าในมุมมองของคนที่ไม่ได้คิดว่า นี่คือการทำธุรกิจ แต่คือ การดูแลสุขภาพกายและใจของตนเอง ผ่านกิจการเล็กๆ ที่สร้างขึ้น ผลพลอยได้คือ การมอบสุขภาพที่ดีให้กับคนในครอบครัว เพื่อนฝูง ลูกค้า และผลตอบแทนคืนสู่สังคม ซึ่งนั่นสำคัญกว่า นิยามความสำเร็จในอดีตทั้งหมดของเขาแล้ว
“ผมมองว่า ทำธุรกิจแค่มีความสุขก็กำไรแล้ว”
.................................................