"Green Pet"โลกสีเขียวของสัตว์เลี้ยงแสนรัก

สุขภาพและสิ่งแวดล้อมคือสิ่งที่ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความตระหนักถึงและไม่เพียงเพื่อตัวเองแต่รวมถึงสัตว์เลี้ยงด้วย
ต้นข้าวสาลีสีเขียวอ่อน รายล้อมด้วยผลิตภัณฑ์ชุดปลูกต้นข้าวสาลีสำเร็จรูป “Pet Grass” ภายใต้ แบรนด์ “Green Pet” ดึงดูดสายตาขาช้อปได้ทุกครั้งที่ไปออกงานแสดงสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง
พวกเขา คือ ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพสำหรับสัตว์เลี้ยง ที่มีทั้งจุลินทรีย์สำหรับสุนัขและแมว ช่วยเรื่องระบบย่อยอาหาร บำรุงผิวหนังและเส้นขน มีวัสดุปลูกต้นข้าวสาลีอ่อนออร์แกนิก อาหารจากธรรมชาติที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยง โดยเจ้าของสามารถซื้อไปปลูกเองได้ง่ายๆ งอกงามพร้อมใช้ภายใน 7 วัน
ไม่เพียงทำผลิตภัณฑ์ที่เน้น “สุขภาพที่ดี” ของสัตว์เลี้ยงแสนรักเท่านั้น แต่สินค้าที่ประทับตรา “Green Pet” ยังมีจุดยืนชัดเจน เรื่อง “เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” โดยเน้นสินค้าที่ไม่ใช่แค่ปลอดสาร แต่เป็นผลิตภัณฑ์ “ออร์แกนิก” ที่ไม่ใช้สารเคมีตั้งแต่ต้นทางการผลิต วัตถุดิบ กระบวนการผลิต ไปจนถึงมือสัตว์เลี้ยง
“Green Pet เน้นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เป็นออร์แกนิก ไม่มีสารเคมี เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะเรามองว่า ตอนนี้คนตระหนักรับรู้ถึงสุขภาพของตนเองกันมากขึ้น และมักนึกถึงสุขภาพของสัตว์เลี้ยงด้วย”
“สิริญาพัทธ์ เทียนรุ่งศรี” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไวท์เครน (วี.88) อะควาเท็ค จำกัด ที่พ่วงตำแหน่งนายกสมาคมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงไทย บอกเล่าที่มาของผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกสำหรับสัตว์เลี้ยง รองรับการเติบโตของตลาดสัตว์เลี้ยงแสนรัก ที่ขยับสูงขึ้นทุกปี โดยมูลค่าผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงในปีที่ผ่านมา อยู่ที่ประมาณ 11,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 10-15% ต่อปี
ในวันที่ผู้คนไม่ได้แค่เลี้ยงสัตว์ไว้แก้เหงา หรือแค่เฝ้าบ้าน แต่เลี้ยงเป็นดั่ง “ลูกรัก” ดังนั้นจึงให้ความใส่ใจกับสุขภาพของสัตว์เลี้ยงกันมากขึ้น แม้แต่การเลือกผลิตภัณฑ์ ก็ยังให้ความสำคัญกับของดีที่เป็นคุณต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยง
“เราเลือกทำสินค้าตัวนี้ไม่ใช่เพราะมองว่าเป็น เทรนด์ แต่ด้วยความที่รักสุขภาพ และเลี้ยงสัตว์อยู่แล้ว ขณะที่ธุรกิจของเราก็เกี่ยวข้องกับสัตว์มานาน”
เธอเล่าที่มา ในฐานะทายาทรุ่น 3 ของ “ไวท์เครนกรุ๊ป” (White Crane) ที่เติบโตมาจากธุรกิจเลี้ยงปลาสวยงาม (ค.ศ.1959) ส่งออกไปยังต่างประเทศ เป็นตัวแทนนำเข้าสินค้าสำหรับวงการปลาสวยงาม ก่อนขยายมาสู่ผู้ผลิตจุลินทรีย์ให้กับวงการสัตว์น้ำ (กุ้ง) และสัตว์เลี้ยง (สุนัขและแมว)
“ด้วยความที่เราเดินทางบ่อย เลยทำให้เห็นว่า โลกเปลี่ยนแปลง และก้าวหน้ามากๆ เราเห็นเทรนด์ของโลกว่าอนาคตจะต้องเป็นไปในทางนี้ เลยตั้งใจที่จะพัฒนาสินค้าที่ไม่เป็นโทษต่อธรรมชาติ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้ทำ จุลินทรีย์สำหรับวงการกุ้ง เพื่อปรับสมดุลและเพิ่มระบบนิเวศน์ในพื้นที่จำกัด ก่อนพัฒนาสู่สินค้าสำหรับวงการสัตว์เลี้ยง เมื่อปี 2007”
พวกเขาใช้ความถนัดจากประสบการณ์ในอดีต ขายผลสู่วงการสัตว์เลี้ยง โดยมีจุดยืนสั้นๆ แค่ เพื่อสุขภาพ ทำจากธรรมชาติ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ยกตัวอย่าง ชุดปลูกต้นข้าวสาลีสำเร็จรูป “Pet Grass” ที่ไม่มีการใช้สารเคมีตั้งแต่ต้น ไร้เงาของยาฆ่าแมลงในกระบวนการเพาะปลูก เพื่อให้สัตว์เลี้ยงได้กินสดๆ ทั้งต้นได้อย่างปลอดภัย ต้นข้าวสาลียังมีเหล่าสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยง ขณะที่วัสดุที่ใช้ปลูก รวมถึงแพ็กเกจจิ้ง ก็ออกแบบให้สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ พร้อมคู่มือการใช้งานง่ายๆ รองรับไลฟ์สไตล์ผู้คนยุคใหม่
ตอบโจทย์ ทั้ง “สุขภาพ” และ “สิ่งแวดล้อม” ได้ตามเจตนารมณ์
แต่การเริ่มต้นในถนนสายนี้ไม่มีอะไรง่าย ถามว่ามีคนสนใจมากแค่ไหน เธอตอบว่า “น้อยมาก” และยังคงต้องให้ความรู้กันอีกเยอะมาก
“แม้ว่าเมืองไทยจะเป็นประเทศผู้ผลิตอาหารป้อนโลก แต่ด้วยความที่อุตสาหกรรมนี้มุ่งเน้นปริมาณ เพื่อให้เพียงพอต่อจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น และให้ทันต่อการส่งออก ดังนั้นจึงมีการใช้สารเคมีกันเยอะอยู่แล้ว ขณะการตระหนักรับรู้ถึงการทำให้เกิดความยั่งยืน ให้อยู่จนชั่วลูกชั่วหลาน ยังไม่เป็นที่สนใจมากนัก”
แม้ผู้ประกอบการหลายราย อาจยังมองการใช้สารเคมีเป็น “เรื่องปกติ” แต่สำหรับเธอ กลับเชื่อว่า ถึงจุดหนึ่งก็ต้องเปลี่ยนแปลง เพราะโลกเริ่มแปรเปลี่ยน สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป การเกิดขึ้นของภาวะโลกร้อน ทำให้ผู้คนเริ่มตระหนักรู้ในเรื่องนี้มากขึ้น สิ่งเหล่านี้จะบีบบังคับให้ธุรกิจต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของสิ่งแวดล้อม และต้องลดการใช้สารเคมีลงในอนาคต เพราะไม่เช่นนั้นก็จะถูกปฏิเสธจากลูกค้า
“เส้นทางนี้มันยากนะ แต่จะให้เราไปทำแบบที่ตลาดทำคือ ใช้สารเคมี ก็ทำไม่ได้เช่นกัน เพราะเรารู้อยู่เต็มอกว่าสิ่งไหนทำแล้วดี สิ่งไหนให้โทษ มันต้องใจแข็งเหมือนกันนะ ค่อยๆ ทำไป ให้ความรู้กันไป คนที่ทำอะไรแรกๆ ก็ยากหน่อย แต่เราเชื่อว่า ทำแบบนี้ยั่งยืน”
ด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่ ที่จะเดินในวิถี “Green” โดยไม่ใช่แค่ใช้เป็น “จุดขาย” แต่คือ “ความรับผิดชอบ” ที่พวกเขาจะมีให้กับลูกค้า ผลิตภัณฑ์สีเขียวเพื่อสัตว์เลี้ยง “Green Pet” จึงค่อยๆ ได้รับการยอมรับเพิ่มมากขึ้น ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่คือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา มีกำลังซื้อ และให้ความสำคัญกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อม แม้สินค้าออร์แกนิกมักจะมีราคาสูงกว่าสินค้าทั่วไป แต่เธอบอกว่า “Green Pet” ไม่ได้ทำราคาที่แพงเกินไป แต่อยู่ในระดับราคาที่สมเหตุสมผล เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ และสัตว์เลี้ยงมีโอกาสได้ใช้ผลิตภัณฑ์รักษ์โลก
ทายาทรุ่น 3 ของไวท์เครนกรุ๊ป เข้ามาช่วยธุรกิจครอบครัวตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 โดยดูแลเรื่องระบบมาตรฐานในองค์กร พร้อมนำเทคโนโลยี และความคิดใหม่ๆ เข้ามาประยุกต์ใช้ในธุรกิจ
ทว่าหนึ่งผลงานสำคัญ คือการแตกไลน์บริษัท สู่ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยงและสิ่งแวดล้อม ซึ่งแม้จะยังเป็นหน่วยธุรกิจที่ไม่ใหญ่มากนัก เมื่อเทียบกับมูลค่าธุรกิจของทั้งกรุ๊ป แต่เธอก็ยังหวังว่า “Green Pet” จะเป็นความยั่งยืนของธุรกิจครอบครัวในอนาคต
กับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้คิดเพียงผลตอบแทนทางธุรกิจ แต่ต้องตอบโจทย์โลกและสิ่งแวดล้อมด้วย