ปตท.ตั้งทีมอิสระกรองลงทุนตปท.

ปตท.ตั้งทีมอิสระกรองลงทุนตปท.

ปตท.ตั้งคณะทำงานกลั่นกรองการลงทุนต่างประเทศ ก่อนเสนอบอร์ดปตท.พิจารณา หลังพบปัญหาการลงทุนต่างประเทศบางโครงการ

"ปิยสวัสดิ์" ระบุต้องรอบคอบลดความเสี่ยงและขาดทุน ชี้นโยบายอุดหนุนราคาพลังงานที่ผ่านมา ฉุดอัตรากำไรปตท.ลด กระทบขีดแข่งขัน เตรียมแผนเชิงรุกสร้างความเข้าใจประชาชน พร้อมประกาศวิสัยทัศน์องค์กรใหม่ในกลางปีหน้า

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงการประชุมคณะกรรมการ ปตท.นัดพิเศษ เพื่อกำหนดทิศทางและกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ ประจำปี2557 ในวันที่ 26 ก.ค. ที่ผ่านมาว่า ผลจากการประชุมจะใช้ประกอบการจัดทำแผนวิสาหกิจและงบประมาณประจำปี 2558-2562 ที่จะทำให้สามารถบรรลุวิสัยทัศน์ในการเป็น "บริษัทพลังงานไทยข้ามชาติชั้นนำ” (Thai Premier Multinational Energy Company) ในปี2563 ใน 3 ด้าน (Big - Long - Strong) Big คือ การเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ ที่จะสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานให้กับประเทศ โดยต้องสามารถรักษาอันดับ 1 ใน 100 ของบริษัทที่มียอดขายสูงสุดของโลก ตามการจัดอันดับของนิตยสาร Fortune 500

Long คือ การเป็นบริษัทที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืน จะต้องเป็นบริษัทที่บรรลุเป้าหมายตามดัชนีวัดผลการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยตลาดหุ้นดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Index-DJSI) ที่จะขยายการลงทุนให้เกิดความครบวงจรในธุรกิจพลังงาน และ Strong คือ การเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการดี และมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง อยู่ในระดับชั้นนำของโลก

นอกจากนี้ ปตท.ได้กำหนดกลยุทธ์ TAGNOC ให้เป็นวัฒนธรรมองค์กร คือ การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้และมีเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสังคม ตลอดจนการเป็นองค์กรที่สร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานและความมั่งคั่งให้กับประเทศ

ระบุลงทุนต่างประเทศต้องรอบคอบ

นายปิยสวัสดิ์ กล่าวด้วยว่า ภายใน 1 ปีข้างหน้า ปตท.จะต้องสร้างความเข้าใจเชิงรุก กับประชาชน ให้เข้าใจถึงเหตุผลความจำเป็นที่ปตท.จะต้องมีระดับกำไรที่เหมาะสม เพื่อออกไปแข่งขันกับคู่แข่งในต่างประเทศ ในการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน เพราะ ในอนาคตปตท.จะไม่สามารถที่จะเติบโตจากฐานทรัพยากรปิโตรเลียมในประเทศเหมือนที่ผ่านมาได้ แต่จะต้องแข่งขันด้วยการออกไปลงทุนหาแหล่งปิโตรเลียมในต่างประเทศ และการที่มีเทคโนโลยีของตนเอง

สำหรับโครงการการลงทุนในต่างประเทศที่มีปัญหา เช่น โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ที่ประเทศอียิปต์ และโครงการลงทุนปาล์มน้ำมันที่ประเทศอินโดนีเซียนั้น ต้องยอมรับว่าการลงทุนมีความเสี่ยง นอกจากนี้มองในภาพรวมจะเห็นว่า โครงการที่ปตท.ไปลงทุนทั้งในเรื่องของการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ในทะเลน้ำลึก ที่บราซิล และที่โมซัมบิก ถือว่าจำเป็นสำหรับอนาคตของปตท. โดยโครงการลงทุนในต่างประเทศก็พยายามที่จะดูแลให้มีความรอบคอบมากขึ้น เพื่อไม่ให้มีปัญหาขาดทุน

“บอร์ดปตท.คงจะไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าทุกโครงการลงทุนของปตท.จะต้องมีกำไร เพราะทุกการลงทุนมีความเสี่ยง หากเราไม่ต้องการเห็นการขาดทุนเลย ก็คงไม่ต้องอนุมัติโครงการลงทุนใดๆ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ที่ผ่านมาในภาพรวมก็ถือว่าหลายโครงการประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตามบอร์ดก็มีความเห็นว่าจะต้องมีความรอบคอบ ต่อการลงทุนมากยิ่งขึ้น“ นายปิยสวัสดิ์ กล่าว

ตั้งคณะทำงานอิสระกรองลงทุน

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลยุทธ์องค์กร บริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท.ได้ตั้งคณะทำงานอิสระขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อทำงานกลั่นกรองโครงการลงทุนในต่างประเทศ ก่อนที่จะเสนอให้บอร์ดปตท.พิจารณา เพื่อให้เกิดความรอบคอบตามนโยบายของบอร์ด โดยจะมีการรายงานความคืบหน้าการลงทุนให้บอร์ดรับทราบเป็นระยะ

สำหรับแผนการลงทุน ในระยะสั้น 5 ปี (2558-2562) ได้ปรับลดการลงทุนลง โดยตัดส่วนเงินที่กันสำรองการลงทุนต่างประเทศเอาไว้ประมาณ 60,000 ล้านบาทออก เนื่องจากแผนการลงทุน จะเน้นการลงทุนในประเทศเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน เช่น โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ,โครงการสร้างท่าเรือและคลังรองรับแอลเอ็นจีจากต่างประเทศ เนื่องจากแนวโน้มการใช้แอลเอ็นจีจะเพิ่มขึ้นตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันมีคลังเก็บอยู่ 5 ล้านตันต่อปี จะต้องเพิ่มเฟส 2 รองรับอีก 5 ล้านตันต่อปี หากไทยไม่มีการส่งเสริมเชื้อเพลิงถ่านหินหรือพลังงานทดแทนอย่างจริงจังจะทำให้ไทยต้องนำเข้าแอลเอ็นจีเพิ่มขึ้นอีก 15-30 ล้านตันในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงสำหรับความมั่นคงทางด้านพลังงาน นอกจากนี้ยังจะมีโครงการก่อสร้างคลังและท่าเรือเพื่อรองรับแอลจีจีนำเข้าด้วย

แผนระยะยาวของปตท. จำเป็นจะต้องมองถึงการมีเทคโนโลยีของตนเอง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพราะในอนาคตปริมาณสำรองก๊าซในอ่าวไทยจะทยอยลดลงตั้งแต่ปี 2564 หรืออีก 8 ปีข้างหน้า โดยสัญญาสัมปทานปิโตรเลียมที่ใช้ในปัจจุบันจะทยอยหมดสัญญาลง หากไม่มีการต่อสัญญาหรือเปิดสัมปทานเพื่อหาก๊าซเพิ่มเติม ทางปตท.ซึ่งใช้ก๊าซฯเป็นวัสดุดิบสำคัญในธุรกิจปิโตรเคมีจะหนีไม่พ้นต้องหันไปลงทุนหาแหล่งพลังงานในต่างประเทศ

ในขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีก็จะต้องมาเน้นการเป็นศูนย์กลางเรื่องของไบโอพลาสติก การหาเทคโนโลยีเกี่ยวกับแบตเตอรี่เพื่อกักเก็บพลังงานทดแทนให้มีประสิทธิภาพสูงสุดด้วย การเตรียมการรองรับรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้า รวมทั้งขณะนี้กำลังวิจัยการสกัดเอทานอลจากฟางข้าวและเปลือกอ้อยอีกด้วย เป็นต้น

ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่กลางปี58

นายปิยสวัสดิ์ กล่าวต่อว่า คณะกรรมการบริษัทได้หารือถึงการกำหนดวิสัยทัศน์ใหม่ของปตท. ภายในปี2571 ที่ปตท.จะมีอายุครบ 50 ปี ให้สอดคล้องกับกระแสโลก (Global trends) ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านสังคมและการเมือง และด้านเทคโนโลยีที่จะพลิกโลกเศรษฐกิจและธุรกิจ รวมไปถึงอุตสาหกรรมพลังงานที่จะมีการพัฒนาพลังงานรูปแบบใหม่และพลังงานทางเลือกเพิ่มขึ้น การเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีคุณค่าเพื่อให้เกิดการสูญเสียและสิ้นเปลืองน้อยที่สุด โดยจะประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ ในช่วงกลางปี 2558 สอดคล้องกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า ของกระทรวงพลังงาน

สำหรับประเด็นที่บอร์ดปตท.มีความกังวลคือ อัตราผลกำไรต่อรายได้ของปตท.ในปี 2556 ที่อยู่ในระดับต่ำคือประมาณ 2.7% ต่ำกว่าธุรกิจด้านพลังงานที่เป็นคู่แข่ง เนื่องมาจากนโยบายภาครัฐที่อุดหนุนราคาพลังงานโดยเฉพาะก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) และก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) คิดเป็นมูลค่ากำไรประมาณ 9 หมื่น-1 แสนล้านบาท และอยู่ในระดับนี้มาเป็นเวลา 7 ปีแล้ว ในขณะที่ภาระการลงทุนของปตท.เพื่อแสวงหาความมั่นคงทางด้านพลังงานให้กับประเทศ เพิ่มสูงขึ้นโดยตลอด ทำให้ตัวเลขผลตอบแทนต่อเงินลงทุน (Return on Invested Capital-ROIC) ลดลงมาอย่างต่อเนื่อง ในระดับ 8-9% จากที่ควรจะอยู่ที่ระดับ 16%

“นโยบายของรัฐที่มีการควบคุมราคาแอลพีจีและเอ็นจีวีไว้ ทำให้ปตท.ต้องแบกรับภาระการขาดทุนปีละประมาณ 3 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยแบ่งเป็นภาระเอ็นจีวี 2 หมื่นล้านบาท และแอลพีจี 1 หมื่นล้านบาท เพราะโรงแยกก๊าซธรรมชาติต้องขายแอลพีจีในราคา 333 ดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่ราคาก๊าซที่ปากหลุมอยู่ที่ 381 ดอลลาร์ต่อตัน ในขณะที่เอ็นจีวี ที่มียอดการใช้เติบโตขึ้นทุกปี ทำให้ต้องนำเข้าแอลเอ็นจี ที่มีราคาแพงเข้ามาให้เพียงพอ ส่งผลให้ต้นทุนเอ็นจีวีเพิ่มขึ้น แต่ราคาเอ็นจีวีที่ขายให้ผู้บริโภคไม่ได้ปรับราคา ซึ่งเป็นประเด็นที่ปตท.ต้องทำความเข้าใจกับภาครัฐ เพราะหากแนวโน้มยังเป็นอยู่เช่นนี้ จะไม่เป็นผลดีต่อธุรกิจ ปตท. ในการออกไปแข่งขันกับต่างประเทศ"