ส่งออกผลสับปะรดสู่ญี่ปุ่น ทางเลือกของการสร้างมูลค่า

ส่งออกผลสับปะรดสู่ญี่ปุ่น ทางเลือกของการสร้างมูลค่า

(รายงาน) ส่งออกผลสับปะรดสู่ญี่ปุ่น ทางเลือกของการสร้างมูลค่า

จังหวัดเพชรบุรี มีพื้นที่ปลูกสับปะรด รวมเนื้อที่กว่า 90,000 ไร่ ให้ผลผลิตเฉลี่ยปีละ 360,000 ตัน โดยผลผลิตสับปะรดที่ปลูก ทั้งหมดส่งเข้าโรงงานแปรรูปต่างพื้นที่ และมีส่วนน้อยที่ขายให้ผู้บริโภคสับปะรดผลสด ทำให้ปัญหาที่ เกษตรกรในจังหวัดเพชรบุรี พบปัญหาไม่ต่างกันก็คือภาวะผลผลิตล้นตลาด

ขณะที่โรงงานที่เคยรับซื้อ ก็เลี่ยงที่จะซื้อผลผลิตเพิ่มเติมไปจากเดิม โดยให้เหตุผลว่า สับปะรดไม่ได้คุณภาพ ทั้งยังเสี่ยงเรื่องสารตกค้าง จากปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในจังหวัดเพชรบุรี โดยสำนักงานเกษตรจังหวัดเพชรบุรี และภาคเอกชนคือ สหกรณ์การเกษตรบ้านลาด จำกัด ผลักดันแนวทางร่วมกันเพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาปลูกสับปะรดรับประทานผลสด จำหน่ายให้กับร้านอาหาร โรงแรม และนักท่องเที่ยว

แต่ตลาดสับปะรดรับประทานผลสดยังแคบ มียอดจำหน่ายไม่มาก จึงทำให้สหกรณ์การเกษตรบ้านลาด จำกัด เสนอทางออกเพิ่มเติม คือ การส่งสับปะรดไปญี่ปุ่น และได้รับการตอบรับด้วยคำสั่งซื้อที่มีเข้ามาสัปาดาห์ละ 15 ตัน ในระยะแรก

นายศิริชัย จันทร์นาค ผู้จัดการ สหกรณ์การเกษตรบ้านลาด จำกัด จ.เพชรบุรี เปิดเผยว่า การส่งสับปะรดผลสด ไปจำหน่ายที่ญี่ปุ่น มีที่มาจากการที่สหกรณ์การเกษตรบ้านลาด ประสบความสำเร็จ ในการส่งกล้วยหอมทองไปจำหน่ายที่ญี่ปุ่น โดยมีคำสั่งซื้อกล้วยหอมทอง ปีละ 8,000 ตัน แต่สหกรณ์มีกล้วยหอมทอง สามารถผลิตเพื่อส่งออกให้ได้แค่ปีละ 2,000 ตัน ทำให้ส่วนที่เกินต้องรวบรวมผลผลิตมาจากแหล่งปลูกที่อื่น

"รสชาติของสับปะรดเพชรบุรีถูกปากคนญี่ปุ่นมาก จนมีคำสั่งซื้อมาอย่างต่อเนื่อง ทางสหกรณ์เกษตรบ้านลาด จึงหารือกับสมาชิกของสหกรณ์ ซึ่งมีทั้งผู้ปลูกกล้วยหอมทอง และผู้ปลูกสับปะรด ในเบื้องต้นไม่มีใครสนใจเพราะกลัวว่าญี่ปุ่นจะกำหนดคุณภาพสูง เหมือนกล้วยหอมทองที่กำหนดให้ปลอดสารพิษ ซึ่งในสับปะรดจะทำได้ยากกว่า อย่างไรก็ตามหลังจากหารือกับทางผู้นำเข้า พบว่าฝ่ายผู้ซื้อได้กำหนดคุณภาพในระดับที่รองลงมา ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์สูง"

เมื่อได้รับคำสั่งซื้ออย่างเป็นทางการ จึงได้วางแผนการผลิต และเปิดรับสมาชิกเข้ามาร่วมโครงการ ซึ่งในเบื้องต้นมีสมาชิกเข้าร่วมโครงการ 10 ราย มีพื้นที่ปลูกรวม 500 ไร่เศษ โดยทางสหกรณ์ได้เข้าไปควบคุมดูแลขบวนการผลิตตั้งแต่การไถปรับพื้นที่ การปลูก การใส่ปุ๋ย การใช้ยากำจัดศัตรูพืชให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ญี่ปุ่นต้องการ

"สับปะรดรับประทานผลสดที่เข้าเกณฑ์ส่งออกไปญี่ปุ่น ต้องมีน้ำหนักลูกละ 1.5 กิโลกรัม โดยทางสหกรณ์จะรับซื้อจากเกษตรกรในราคากิโลกรัมละ 10 บาท ซึ่งตามปกติแล้วราคาสับปะรดโรงงานในช่วงที่แพงสุด ราคาไม่เกินกิโลกรัมละ 8 บาท ที่สหกรณ์ให้ราคาสูงกว่าสับปะรดโรงงาน เพราะการผลิตสับปะรดทานผลสด ผลิตยากกว่าผลิตสับปะรดส่งโรงงาน แต่ในอนาคตเชื่อว่าญี่ปุ่นจะสั่งซื้อสับปะรดเพิ่มขึ้น จนต้องมีการขยายพื้นที่การผลิต ขณะนี้รอเพียงผู้เข้าร่วมโครงการรุ่นแรกประสบความสำเร็จ ก็จะมีคนเข้าร่วมโครงการมากขึ้น และพื้นที่ปลูกจะเพิ่มขึ้น "

ทั้งนี้ ญี่ปุ่นจะไม่สั่งซื้อสับปะรดเพียง 3 เดือน คือ พ.ค. มิ.ย. และก.ค. เพราะเป็นช่วงที่สับปะรดในประเทศออกผล จึงจำเป็นต้องมีการวางแผนส่งออกสับปะรดไปยังญี่ปุ่นทุกเดือนในช่วง 9 เดือน โดยจะต้องผลิตให้ได้เดือนละไม่ต่ำกว่า 30 ตัน ส่วนวิธีการขนส่งนั้น จะใช้วิธีส่งทางเรือ มีระยะเวลาเดินทางรวม 10 วัน

ส่วนสับปะรดที่ปลูกเพื่อส่งโรงงาน และสับปะรดรับประทานผลสด จะแตกต่างกันเพราะสับปะรดส่งโรงงานเปรี้ยวได้ แต่สับปะรดทานผลสดต้องมีรสชาติหวาน

ทางด้าน นายชาญณรงค์ พวงสั้น หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาการผลิต สำนักงานเกษตร จ.เพชรบุรี กล่าวว่า ทางสำนักงานเกษตร จ.เพชรบุรี กำลังส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกสับปะรดรับประทานผลสด เพื่อลดปริมาณสับปะรดส่งโรงงาน และเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสับปะรด โดยเจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าเป็นโรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหารและนักท่องเที่ยว และส่งสหกรณ์การเกษตรบ้านลาด เพื่อส่งไปจำหน่ายที่ประเทศญี่ปุ่น

ขณะที่ นายสุพล หมอนทอง ประธานสภาเกษตรกร จ.เพชรบุรี กล่าวว่า ปัญหาที่ผู้ปลูกสับปะรดเผชิญที่ผ่านมา คือในช่วงที่สับปะรดให้ผลผลิตมาก จะเกิดภาวะล้นตลาด ทำให้สับปะรดมีราคาถูก จนเกษตรกรเดือดร้อน โดยเฉพาะเกษตรกรที่ไม่มีโควต้าส่งผลผลิตกับโรงงาน จะไม่มีที่ขายสับปะรด การที่สหกรณ์การเกษตรบ้านลาด ริเริ่มส่งออกสับปะรดรับประทานผลสดไปจำหน่ายที่ญี่ปุ่นถือเป็นเรื่องดี เพราะจะได้มีทางเลือกในการระบายผลผลิต

"ที่ผ่านมาโรงงานแปรรูปสับปะรด มักจะเอาเปรียบ เมื่อผลผลิตออกมามาก โรงงานจะกดราคารับซื้อในราคาต่ำ การปลูกสับปะรดผลสด ทำให้เกษตรกรมีทางเลือก ทำให้ผลผลิตสับปะรดในตลาดรวมลดลง " ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดเพชรบุรี กล่าว

ส่วน นายบรรเทิง นวมภักดี ประธานสภาอุตสาหกรรม จ.เพชรบุรี กล่าวว่า จ.เพชรบุรี ไม่มีโรงงานแปรรูปสับปะรด เกษตรกรต้องนำผลผลิตส่งไปขาย ที่จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีระยะทางไกล เกษตรกรายย่อยบางรายต้องขายสับปะรดให้ผู้รับซื้อสับปะรดในท้องถิ่น ซึ่งได้ราคาต่ำกว่าไปขายที่โรงงาน

สำหรับจ. ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีทั้งพื้นที่ปลูก และมีโรงงานแปรรูปผลไม้บรรจุกระป๋อง ก็กำลังมีนโยบายส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกสับปะรดรับประทานผลสดเพื่อจำหน่ายเช่นเดียวกัน

ที่ผ่านมาได้มีลงนามความร่วมมือ ระหว่างตัวแทนเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรด กับผู้ประกอบการโรงแรม ภัตตาคาร ในการรับซื้อสับปะรดผลสด เพื่อส่งเสริมให้ผู้บริโภคหันมารับประทานสับปะรดผลสดมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นการช่วยเกษตรกรที่ผูกขาดกับการส่งผลผลิตเข้าโรงงานเพียงอย่างเดียว และส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาปลูกสับปะรดรับประทานผลสด เป็นการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสับปะรด และเพิ่มมูลค่าสับปะรด

ปัจจุบัน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีพื้นที่ปลูกสับปะรดผลสดจำนวน 764 ไร่ เกษตรกรจำนวน 86 ราย โดยมีพันธุ์สับปะรดต่างๆ เช่น พันธุ์เพชรบุรี 1 ตราดสีทอง และเหลืองสามร้อยยอด

ผลผลิตที่ได้ เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค และมีราคาสูง ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นหลายเท่าเมื่อเทียบกับการสับปะรดที่ผลิตเพื่อส่งโรงงาน ซึ่งทางจังหวัดได้กำหนดเป็นแนวทางส่งเสริม และพัฒนาสับปะรดให้กับเกษตรกร โดยปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตสับปะรด จากการผลิตเพื่อส่งเข้าโรงงาน ให้เปลี่ยนมาทำผลสดเพื่อรับประทานบ้าง เพื่อเพิ่มมูลค่าของผลผลิต

การส่งสับปะรดผลสดไปจำหน่ายที่ญี่ปุ่น จึงเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาด และเพิ่มทางเลือกให้เกษตรกร ที่จะได้รับความเป็นธรรมในเรื่องราคา